![]() |
| ![]() ![]() ![]() |
Luangporthob.pantown.com : เปิดตำนานหลวงพ่อทบ | [ลูกบ้านSignIn][เจ้าบ้านSignIn] |
   ชีวประวัติหลวงพ่อทบ
- ...... หลวงพ่อทบ ธมฺมปญโญ ถือกำเนิดเกิดมาเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน4 ปีมะเส็ง ตรงกับวันท่ 3 มีนาคม พ.ศ.2424 ณ.บ้านยางหัวลม ตำบลนายม(ปัจจุบันแยกเป็นตำบลวังชมพู) อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ หลวงพ่อทบเป็นบุตรคนที่3 ของคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์ ม่วงดีมี่น้อง4คน ได้แก่ 1 นายหว่าง ม่วงดี 2 นางใบ ม่วงดี 3 นายทบ ม่วงดี (หลวงพ่อทบ) 4 นางแดง ม่วงดี - ......การบรรพชาอุปสมบท เด็กชายทบเข้าบรรพชาเมื่ออายุได้16 ปี(พ.ศ.2440) ที่วัดช้างเผือก โดยมีพระอาจารย์สี เป็นพระอุปัชฌาย์ จนปีพ.ศ.2445 ท่านได้เข้าอุปสมบทที่วัดเกะแก้ว บ้านนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีพระครูเมืองเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ปานเป็นพระกรรมวาจา พระสีเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ธมฺมปัญโญ จากนั้นท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย และวิปัสนากรรมฐานจากพระอาจารย์ปานวัดศิลาโมง และพระอาจายร์เหง้า วัดบ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก และออกธุดงค์แต่บัดนั้น - ......วาระศิษย์อาลัย วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2519 ทางวัดช้างเผือกได้จัดให้มีงานประจำปีและวางศฺลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ ในวันนั้นฝนตกหนักมากคืนนั้นหลวงพ่อป่วยหนักมากวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2519 ตอนบ่ายได้มีการนำหลวงพ่อส่งโรงพยาบาลในกรุงเทพแต่ไปได้แค่บ้านนาเฉลี่ยงหลวงพ่อก็มรณภาพลงด้วยอาการสงบเมื่อเวลา 4 โมงเย็นของวันที่14 มีนาคม พ.ศ.2519 ++++++++++++ สายวิชาและศาสตร์ทางพุทธาคม************ --- หลวงพ่อทบได้ศึกษาวิชาการสร้างตะกรุด มาจากหลวงพ่อสิ้ว คุณวโร โดยหลวงพ่อทบได้รับคำแนะนำจาก หลวงพ่อเง่า วัดบ้านติ้ว เมื่อครั้งหลวงพ่อทบท่านไปศึกษาวิปัสนาธุระ กับหลวงพ่อเง่า หลวงพ่อสิ้ว ได้เห็นถึงธรรมวิเศษที่ปรากฏในตัวหลวงพ่อทบ จึงถ่ายทอดสายวิชาตะกรุดโทน ตะกรุดพระเจ้าห้าพระองค์ ตะกรุดมหาปราบ ตะกรุดจะตุโร ตะกรุดมงคล๙ เฑาะว์มหาพรหม ด้วยเหตุนี้เองหลวงพ่อทบ ท่านปรากฏอานุภาพจึงเด่นในด้านมหาอุตม์ อันดับหนึ่ง แคล้วคลาดอันดับสองและเมตตาเป็นอันดับสาม - สายวิชาหลวงพ่อทบ ที่หลายท่านยอมรับและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด เป็นวิชาแม่ วิชาหลักในศาสตร์พุทธาคม คือ พระคัมภีร์ปถมัง พระเจ้าห้าพระองค์ มี 8 วรรค์ กับ 1 เกล็ด - ตามตำราโบราณท่านว่า ผู้ที่จะสำเร็จสายวิชานี้ จะต้องศึกษาให้สำเร็จทั้ง 8 วรรค 1 เกล็ดต้องศึกษาลงลึกไปถึงหลักวิชาและแก่นของวิชาแต่ละบทเมื่อสำเร็จวรรค 1 แล้วจึงศึกษาวรรค์2ต่อไปจนจบ จากนั้น จึงจะเรียนรู้ สายวิชาอื่นๆต่อไป ไม่ใช่ท่องจำ วิชานี้ต้องสำเร็จกสิณได้สมาบัติแล้วจึงจะสำเร็จ - วรรคที่ 1 นปัทมัง นะโมพุทธายะ ทำพิณธุ เสกพิณธุ ทำทัณเฑาะว์ เสกทัณเฑาะว์ ทำเภทะ เสกเภทะ ทำอังกุเสกอังกุ ทำสิระเสกสิระ ลบพิณธุ ทัณฑะ เภทะ อังกุ สิระ เป็น นะโมพุทธายะ ลบนะโมพุทธายะ เป็น มะ อะ อุ ลบ มะอะอุ เป็นองค์พระควัมปติ ลบองค์พระควัมปติ เป็นอะวะนะอุนาโลม ลบอะวะนะอุนาโลม เป็นสูญ ลบสูญ เป็นมหาสูญ ลบมหาสูญ เป็นนิพพานสูญ - วรรคที่สอง ปถมังนะโมพุทธายะ ลบนะโมพุทธายะ เป็นมะอะอุ ลบมะอะอุ เป็นอุทัยโองการ เป็นต้น ..........ทำอย่างนี้จนสำเร็จ การจารอักขระสายวิชาที่ตัวเองสำเร็จ จะปรากฏความเข้มขลังเป็นที่สุด - แผ่นยันต์ที่จาร ในตะกรุดหลวงพ่อทบ 3 กษัตริย์ ยุคปลาย จะมีสี่แผ่น แผ่นทองแดงจะเป็นยันต์ไตรสรณะคมภ์ จารรอบด้วยอัขระหัวใจพระไตรสรณะคมภ์ พุทธสังมิ พระเกจิอาจารย์ที่ท่านใช้ยันต์นี้ที่พบคือ หลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว หลวงพ่อกวย หลวงพ่อเลียบ สมเด็จพระวันรัตน์ ( แดง ) เป็นต้น มีพุทธคุณด้านมหาอุตม์เป็นเลิศ - แผ่นทองแดงเป็นการถอดหัวใจ พระพุทธคุณ นวหรคุณ มงคลเก้า ลงอักขระเป็น 8 ช่อง เป็นสุดยอดแห่งพระคาถา แคล้วคลาดมหานิยมเป็นเลิศ - แผ่นตะกั่วจะเป็นแผ่นรวมยันต์ พระคาถา อิติปิโส 8 ทิศ และพระคาถา สัมพุทเธ พุทธคุณครอบจักวาล - แผ่นตะกั้วแผ่นที่ 4 จะเป็นแผ่นที่จารอักขระหัวใจพระพุทธ และอักขระ นะ ชา รี ติ เป็นแผ่นคุมยันต์ .....ตะกรุดหลวงพ่อทบ เป็นตะกรุดที่มีอานุภาพสูง ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านมหาอุตม์ แคล้วคลาด เมตามาหานิยม - ตะกรุดหลวงพ่อสิ้ว คุณวโร เป็นตะกรุดที่จารด้วย ยันต์นปัทมัง พระเจ้า 5 พระองค์ จากการแกะรอยจาร ที่ปรากฏบนแผ่นทองแดง ที่นูน ลึกชัด บ่งบอกถึงพลังในการจาร มีน้ำหนัก เข้ม ขลัง เรียกได้ว่าจารแบบเน้นๆ ดอกนี้เป็นตะกรุดทองแดง หุ้มทองแดง ปิดห้วท้ายด้วยแผ่นจารอักขระ เป็นตะกรุด มหาอุตม์ โดยแท้ ดอกนี้บ่งบอกว่า นี้เป็นตะกรุดสายวิชาเดียวกัน//// ตะกรุดดอกนี้สร้างก่อน ปี 2489 แน่นอน เพราะหลวงพ่อสิ้ว ท่านมรณะภาพ ปี 2489 อายุตะกรุด 60 กว่าปี ความสัมพันธ์ทางสายวิชา บ่งบอกได้จากเอกลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ในสายวิชานั้นๆ นี้คือที่สุดของตะกรุดสายเมืองเพชรบูรณ์ โดยแท้ - พระอาจารสี เป็นอุปฌาย์ให้ตอนหลวงพ่อทบท่านบรรพชา ต่อมาพระอาจารย์เมืองจากวัดแกะแก้วเป็นพระอุปัชฌาย์มีพระอาจารยสีเป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์ปานเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สีมีความเกี่ยวข้องกับพระอาจารย์ปาน และที่เด่นชัดที่สุดคือพระอาจารย์ปานและพระอาจารย์สี ได้เป็นผู้ถ่ายถทอดวิชาศาสตร์ ทางพระพุทธาคมจากพระคัมภีร์ นปัทมัง พระเจ้าห้าพระองค์ พระคัมภีร์แม่บท พระคาถาอาคมแม่ธาตุ และยังได้เรียนรู้พระคาถาหัวใจ 108 พระคาถาพันเก้า จากนั้นพระอาจารย์สี และพระอาจารย์ปาน ได้แนะนำให้หลวงพ่อทบไปพบกับพระสังวรธรรมคุณหรือพระอาจารย์เง่า วัดบ้านติ้ว - การพบกันในครั้งนั้น หลวงพ่อทบได้เรียนวิปัสนาธุระจนได้ชาญสมาบัติแล้ว หลวงพ่อเง่ายังเมตตาถ่านทอดวิชากสิณ 10 วิชามหาภูติรูป 4 และที่นี้เอง ที่หลวงพ่อทบท่านได้สำเร็จเตโชกสิณขั้นสูง สามารถเพ่งพิจารณาพระอาทิตย์ได้ เป็นวิชาที่ถูกจริตกับหลวงพ่อทบมากที่สุด จากนั้นหลวงพ่อทบท่านได้เดินทางไปศึกษาเรียนวิชาสายตะกรุดจากหลวงพ่อสิ้ว ตามคำบอกของหลวงพ่อเง่า ในสายวิชาดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์แล้วกับประชาชนทั่วไป และเป็นที่ยอมรับ และพิสูจน์ให้เห็นจริงและประจักษ์กับพยานบุคคลที่ยืนยันได้หลายท่าน ปัจจุบันบางท่านยังมีชีวิตอยู่ การเก็บข้อมุลมานานกว่า 20 ปี จึงนำมาถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มประวัติศาสตร์เล่มนี้ ในเทปบันทึกเสียง ของหลวงพ่อทบ ที่ผู้ใหญ่แฉล้ม สัมภาษณ์หลวงพ่อไว้ ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ - หลังจากที่หลวงพ่อทบท่านได้เรียน วิชาสายวิชาต่างๆสำเร็จแล้ว ท่านก็ได้ออกจาริกธุดงค์วัตร ออกรุกขมูลไปตามสถานที่สัปปายะเจริญจิตรภาวนาจากเพชรบูรณ์ ไปตามสถานที่ต่างๆ และหลวงพ่อทบ ท่านได้ที่ถ่ำเขาวัวแดง ///// จังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันเป็นสำนักสงฆ์ เป็นสถามที่อาถรรพ์ และศักดิ์สิทธิ์ เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านในอดีต จะต้องไปเจริญภาวนา ณ. ที่แห่งนี้ เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นที่สุดของวิชาทางศาสตร์ทางพุทธาคม ในส่วนนี้ขอนำเสนอไว้แค่นี้ไม่อาจกล่าวเกินเลยได้ เพราะจะไปล่วงละเมิดในส่วนของความเป็นจริง เหนือจิตนาการของพระครูเทพโลกอุดร - หลังจากที่หลวงพ่อทบได้เดินทางกลับเพชรบูรณ์ท่านก็มาจำพรรษาที่วัดแกะแก้ว จวบจน ปี 2472 หลวงพ่อทบ ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดเกาะแก้วตั้งแต่นั้นมา - การสร้างตะกรุดหลวงพ่อทบ ท่านได้ยึดหลักธรรมชาติ กำหนดความยาวของตะกรุด ช่น ตะกรุดโทน ที่เรารู้จัก ต้องยาว 4 นิ้ว ขึ้นไป ( ตามศาสตร์โบราณว่า ความยาวตะกรุดโทนต้องยาว 7 ใบมะขามเรียงกันขึ้นไป ) ตามตำรา ความสั้นยาวของตะกรุด มีที่มาที่ไป ความยาว 7 ใบมะขามเรียงต่อกัน ตามศาสตร์โบราณหมายถึง พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ประกอบด้วย - ธัมมสังคนี - วิภังค์ - ธาตุกถา - ปุคคลบัญญัติ - กถาวัตถุ - ยมก - ปัฏฐาน .....ตะกรุดหลวงพ่อทบ จึงมิใช่เครื่องรางของขลัง ที่ไม่มีความหมายตามคติความเชื่อทางด้านคันถธุระ ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ลุ่มหลงงมงายในด้านศาสตร์พุทธาคม หากมีความหมายทางด้านพุทธานุภาพแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตะกรุดหลวงพ่อทบเป็นตะกรุดที่สร้างตามแบบตำราโบราณ จึงไม่แปลกที่ตะกรุดของหลวงพ่อทบมีประสบการณ์บ่อยๆ การลงอักขระในแผ่นโลหะ ต้องอาศัยความชำนาญ น้ำหนักการลงเหล็กจาร สมาธิ ต้อง ไม่ธรรมดา /// ....ตะกรุดหลวงพ่อทบ......ขลังตั้งแต่การจาร.......ลุงสมพงษ์เล่าให้ผมกับอาจารย์วีรวัฒน์ฟังว่า.....ตะกรุดหลวงพ่อทบเมื่อจารเสร็จ....จะลองยิงก่อน...เมื่อยิงไม่ออกแล้ว....จึงเอาไปให้หลวงพ่อทบปลุกเสกสัมทับอีกที่.....หลวงพ่อทบท่านบอกว่า คนจารตะกรุดต้องมีสมาธิแน้วแน่ จิตรสงบ...ขณะจารต้องว่าพระคาถากำกับ ท่องไป ท่องกลับ จนกว่าขั้นต้อนการจารจะเสร็จสิ้น....หลวงพ่อทบท่านจะใช้พระคาถาบทนี้....นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ.....ว่าไปว่ากลับ....เพื่อเป็นการกำกับและควบคุมสมาธิของผู้จาร... และอีกบทหนึ่ง...ที่สายวิชาตะกรุดของท่านใช้ พุทโธ พุทธัง ธะนะกันตัง อรหังพุทโธ นะโมพุทธายะ คาถาบทนี้เป็นพระคาถามหาอุตม์อยู่ยงคงกระพัน ........คนที่จะท่องพระคาถาไปและกลับได้ ต้องมีสมาธิแข็ง....นิ่ง......เพ่งสมาธิไปที่ตัวอักขระที่จารทุกตัว....คนที่จารตะกรุดให้หลวงพ่อทบมีอยู่เพียงไม่กีท่านเท่านั้น อาจารย์เพ็ง....อาจารย์สมพงษ์...และพระจากวัดกุฎิพระอีก 1 องค์...ขออภัยผมจำชื่อท่านไม่ได้....ทั้ง 3 ท่าน เป้นคสที่หลวงพ่อทบไว้ใจให้จารตะกรุดท่าน....ตะกรุดหลวงพ่อทบ...ที่ท่านสร้างมา พุทธคุณล้วนๆครับ...แล้วแบบนี้ท่านยังไม่อยากเก็บตะกรุดของหลวงพ่อทบไว้สักการะบูชาติดตัวสักดอกหรือครับ.....
- ......จังหวัดเพชรบูรณ์สมัย 40-50ปี ก่อนนั้นมีแต่ป่าสมัยนั้นใครมาเพชรบูรณ์..ต้องเตรียมผ้าขาวมาห่อกระดูกกลับด้วย...เพราะไข้ป่าชุกชมจึงเป็นเมืองไกลปืนเทียง....แต่กระนั้นก็ตามยังมีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งในสมัยนั้น..ได้สร้างปาฏิหาริย์ให้เประจักษ์และสร้างชื่อเสียงให้เมืองเพชรบูรณ์....พระภิษุหนุ่มรูปนั้นมีชือว่า...ทบ...ปี พ.ศ.2465 ตอนนั้นพระหนุ่มที่ชื่อทบนั้น ได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกครั้งใหญ่ที่วัดสุทัศน์...ครั้งนั้นภิกษุหนุ่มจากเพชรบูรณ์..ได้เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ...ในงานพุทธาภิเษกครั้งนั้น...ไม่มีช่างภาพคนไหนถ่ายรูป..พระทบ...ติดเลยแม้แต่คนเดียว...และที่โด่งดังสุดๆก็ในปี พ.ศ.2469 พระทบได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้งหนึ่งที่วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่...แล้วเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่วัดสุทัศน์ก็เกิดขึ้นอีก..คือถ่ายรูปท่านไม่ติด...ตั้งแต่นั้นมาชื่อของพระทบจึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ..ไม่ว่างานปลุกเษกที่สำคัญๆที่ไหน พระทบจะได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมพิธีเสมอ.....นี้คือปฐมปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทบ.และเป็นที่กล่าวขารกันมาจนทุกวันนี้.....
- ......หลวงพ่อทบท่านเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยในยุคก่อนปี พ.ศ.2500 และหลังปี 2500 พระคณาจารย์หลายท่านในช่วงนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง..หลวงพ่อทบท่านก็เป็นอีกท่านหนึ่ง..ในขณะนี้วัตถุมงคลของหลวงพ่อได้รับความนิยมมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับ 3-4 ปีที่ผ่านมาก็ด้วยสาเหตุหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ในวัตถุมงคลขอลหลวงพ่อเป็นที่ยอมรับจากทุกส่วนของประเทศ พระเครื่องหลวงพ่อทบไม่ใช่พระท้องถิ่นอีกต่อไปแล้ว วัตถุมงคลของท่านนับวันยิ่งหายากขึ้นไปทุกขณะราคาเล่นหาแรงสุดๆ การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อทบนั้นดูเผินๆก็เหมือนกับการสร้างวัตถุมงคลโดยทั่วๆไปแต่เบื่องหลังการจัดสร้างนั้นไม่ธรรมดา หลวงพ่อทบท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อคุณภาพมากกว่าปริมาณ หลวงพ่อทบท่านเน้นพิธีการ ฤกษ์ยาม และวิธีการสร้าง โดยเริ่มตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบที่จะใช้สร้างเช่นแม่พิมพ์ต่างๆทั้งที่เป็นดินและโลหะ ก่อนขึ้นรูปแกะพิมพ์ปั้นหุ่นหลวงพ่อจะต้องเสกก่อนทุกครั้งเมื่อแม่พิมพ์สร้างเสร็จหลวงพ่อก็จะพรหมน้ำมนต์ดปรยข้าวตอกดอกไม้และปลุกเสกอีกครั้ง โดยเฉพาะดินที่จะเอามาทำวัตถุมงคลยังต้องทำพิธีขอเจ้าที่เจ้าทางที่ดูแลบริเวณนั้นเสียก่อน และที่สำคัญก็จะยึดฤกษ์ยามที่เป็นมงคล วันดีที่พระคณาจารย์ยุคเก่าท่านนิยมทำพิธีคือวันเสาร์ห้า หรือเวลาเพชฆาตฤกษ์ซึ่งตามตำราท่านว่าเป็นวันแข็งประกอบพิธีวันนี้ท่านว่าขลังนักแล...ทุกขั้นตอนหลวงพ่อถือเอาตามตำราโบราณอย่างแท้จริงและถูกต้องทุกขั้นตอน หลวงพ่อท่านถือมากครับในเรื่องนี้ การสร้างวัตถุมงคลทุกครั้งจะต้องใช้วัตถุที่เป็นมงคลทั้งสิน เช่น ทองคำ เงิน ทองเหลือง ทองแดง สำริด นวะโลหะ เป็นต้น มวลสารประเภทดิน ท่านก็จะใช้ดินโปร่ง ดินท่า ดินขุยปู ดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆทั่วประเทศ วัตถุเหล่านี้ถือว่าเป็นวัตถุที่เป็นมงคลในตัวเอง วัตถุมงคลของหลวงพ่อต้องมีการเสกตั้งแต่เริ่มต้นจนขั้นตอนสุดท้าย การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อส่วนใหญ่จะทำกันในวัด แต่อาจมีบางครั้งที่ต้องสั่งจากโรงงานแต่กระนั้นก็ตามหลวงพ่อต้องปลุกเสกแม่พิมพ์ก่อนเสมอ และการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อท่านจะต้องปลุกเสกนานบางรุ่นปลุกเสก3เดือนก็มี...แม้แต่ตอนแจกวัตถุมงคลหลวงพ่อก็จะเสกสำทับอีกครั้งหนึ่ง ถือว่าดีนอกดีใน ครบสูตรสำเร็จจริงๆครับ......ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งใช้ชื่อว่า...ศิษย์หลวงพ่อทบ กทม......ท่านบอกว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่นับถือหลวงพ่อทบมากท่านได้ติดตามนิตยสารพระเครื่องมหาอุตม์โดยเฉพาะเรื่องหลวงพ่อทบท่านได้ส่งข้อมูลและภาพพระเครื่องมาให้ผมพร้อมกับบทความเก่าๆจากหนังสือพิมพ์สยาม ซึ่งเขียนโดยคุณจร จารึก ซึ่งเป็นการเขียนถึงการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อทบรุ่นไตรมาสซึ่งงสร้างที่วัดโบสถ์โพธิ์ทอง ในปี พ.ศ.2515 เพื่อหาทุนทรัพย์จัดสร้างศาลาการเปรียญที่ยังสร้างไม่เสร็จและกำแพงวัด ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างพระผงครั้งแรกของทางวัดเลยก็ว่าได้ พระรุ่นนี้ปลุกเสกเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2515 จำนวนการสร้าง 3500 องค์ มีส่วนผสมหลักคือ ผงพุทธคุณ ว่าน108 เกษร108 ผงกรุเก่าของวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดสุพรรณบุรีอายุกว่า600ปี ผงดินขี้ตะไคร่พระเสมาจากวัดจริง(วัดที่มีพระจำพรรษา)300วัด วัดร้างอีก200วัด ดินโปร่ง ดินท่า 7 ท่า ชนวนพระกริ่ง 9 จังหวัด ซึ่งนายอัมพร ธัญญาผล นายเทพชู ทับทอง และนายนพคุณ ธารอุทิศ ได้ร่วมกันนำมาถวายหลวงพ่อเพื่อเป็นส่วนผสมในการสร้างในครัง นอกจากนั้นยังมีผงชานหมาก ผงข้าวตากเสก ผงรักทองจากพระประธานในโบสถ์ของวัด...หลังจากนั้นทางวัดได้จัดพระ1ชุด 999 องค์บรรจุกรุใต้ฐานพระประธาน พระชุดนี้ถือว่ามีประสบการณสูงมาก....จนมีชื่อว่ารุ่นเข็มหัก....มาจนทุกวันนี้..ท่านอดีต สส.สุพจน์ ตั้งตระกูล สส.เพชรบูรณ์ เล่าว่า นายแพทย์มนัส แพทย์ประจำโรงพยาบาลหล่มสัก ท่านฉีดยาคนไข้ไม่เข้าจนเข็มงอหลายครั้งปรากฏว่าคนไข้มีสมเด็จรุ่นเข็มหักแขวนคออยู่เช่นกัน...ร้อยโททหารบกท่านหนึ่งขอสงวนนาม...เล่าให้หลวงตาบุญ เจ้าอาวาสวัดโบสถ์โพธิ์ทองฟังว่า ได้นั่งรถจิ๊ปพร้อมลูกน้องรวม 11 นายเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ถูกรอบขว้างระเบิดตกลงกลางรถพอดี ผลก็คือตายคาที่ 8 ศพ สาหัสอีก 2 ส่วนตัวร้อยโทท่านนั้นปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในคอห้อนพระผงรุ่นเข็มหักเพียงองค์เดียว...นายชัช ฤทธานนท์ ทำงานอยู่บริษัทแอร์สยาม แถวลาดพร้าว เล่าว่า เพื่อนของเขาได้ไปปฏิบัตฺหน้าที่ปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่ ๓หินร่องกล้า ออกลาดตระเวณไปเหยียบกับระเบิดจนเสื้อผ้าขาดกระจุยแต่เจ้าตัวไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อยเพราะเขามีพระเครื่องของหลวงพ่อทบติดตัวอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น...ด้วยเหตุนี้เองพระรุ่นนี้จึงโด่งดังเป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป...แต่ก็หาไม่ได้..หลวงตาบุญเจ้าอาวาสวัดโบสถ์โพธิทองในขณะนั้น...จึงได้นิมนต์หลวงพ่อทบ..มาทำการเปิดกรุเอาพระชุดนี้ออกมาเพราะเกรงว่าจะมีคนมาลักรอบขุด... ****************หลวงพ่อทบกับกสิณไฟ**************** ---ตลอดเวลาที่หลวงพ่อทบ ท่านอยู่ในเพศบรรพชิต 79 พรรษา ท่านไม่เคยมีศีลด่างพร้อย ท่านได้บำเพ็ญเพียรในวิปัสสนาธุระศึกษากสิณต่างๆทั้ง 40 กสิณ โดยเฉพาะกสิณไฟท่านบอกว่าเมื่อทดลองดูแล้วถูกกับจริตของท่าน ท่านจะนั่งเพ่งเปลวเทียนทุกคืน นายแพทย์ไชยกาญจน์ กาญจนา ศิษย์คนหนึ่งของท่านที่พาหลวงพ่อไปรักษาตาที่โรงพยาบาลหัวเฉียว ก็ให้ความเห็นว่าดวงตาของหลวงพ่อหมดอายุก็เพราะว่าสาเหตุนี้ นอกจากนี้หลวงพ่อยังเคยเดินทางไปแลกเปลี่ยนวิชากสิณกับหลวงพ่อพิธ วัดฆะมังอีกด้วย ในงานพุทธาภิเษกกริ่งไตรมาส เหรียญปั้มไตรมาส เหรียญหล่อไตรมาส รูปเหมือนผงไตรมาสและพระเนื้อผงพิมพ์จันทร์ลอย ที่วัดโบสถ์โพธิ์ทอง ต.นายม.อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2515 ก็เป็นอีกพิธีหนึ่งที่ได้แสดงให้เห็นถึงกสิณไฟของหลวงพ่อท่านอย่างชัดเจน ผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็นกับตาตัวเองทั้งหมด ท่านผอ.ชัยพร (ขอสงวนนามสกุล) เพราะผมยังไม่ได้ขออนุญาตจากท่านเพราะท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เหตุที่ต้องลงนามท่านก็เพราะต้องการให้เนื้อหาของเรื่องสมบูรณ์ ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฟง ท่านผอ.ไชยพร เพิ่งรับราชการใหม่ๆเงินเดือน 600 บาท (ในปีพ.ศ.2515) อยากจะได้พระกริ่งไตรมาสไว้บูชา จึงได้ไปขอจองกับคุณวิญญูผู้สร้างไว้ 1 องค์ และรอมารับพระกริ่งจากมือหลวงพ่อเลยที่เดียว หลังพิธีเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการได้อาราธนานิมนต์หลวงพ่อให้ไปดับเทียนชัย โดยมีคุณนพคุณเป็นคนเดินประคองหลวงพ่อเดินไป พอหลวงพ่อไปถึงแทนที่หลวงพ่อท่านจะใช้ใบพลูดับ หลวงพ่อกลับใช้มือทั้งสองข้างดับเทียนชัยหน้าตาเฉย ไม่แสดงอาการร้อนเลย เท่านั้นยังไม่พอ ธูปที่จุดปักไว้ในกระถางกำใหญ่ๆหลวงพ่อท่านใช้มือดับทั้งหมด เมื่อคุณนพคุณกราบเรียนถามท่านว่า ทำไมหลวงพ่อถึงดับไฟอย่างนั้น.....หลวงพ่อบอกว่า.....มันเป็นเคล็ดทางมะหาอุดเมื่อข้าดับไฟหมดแล้วลูกปืนที่ไหนมันจะยิงออกละว้า........ ************ หลวงพ่อทบ กับหลวงพ่อจั่น************** ---หลวงพ่อทบท่านได้เข้าบรรพชาที่วัดช้างเผือก..มีอาจารย์องค์แรกคือพระอาจารย์สี..ต่อมาก็มีพระครูเมืองซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ปาน...และได้ศึกษาร่ำเรียนทางอาคมจากหลวงพ่อทรัพย์ ตาพันและหลวงพ่อเหง้าวัดบ้านติ้วอีกด้วย...หลวงพ่อทบออกธุดงค์เพียงอายุ 20 ปีเศษๆเท่านั้นท่านออกธุดงค์ไปจนถึงประเทศลาวเขมรตลอดเวลาที่ท่านธุดงค์ท่านจะแลกเปลี่ยนความรู้กับพระธุดงค์ด้วยกันมาตลอด...และมีครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ตอนที่ท่านธุดงค์ไปในป่าแถวเมืองพิจิตรท่านได้รู้จักกับพระธุดงค์สูงวัยกว่าท่านรูปหนึ่งท่านทั้งสองได้ทักทายกันพระธุดงค์รูปนั้นถามหลวงพ่อทบว่าท่านมาคนเดียวหรือ...หลวงพ่อทบตอบว่าผมมาคนเดียวครับ..พระธุดงค์รูปนั้นตอบกลับว่าท่านเก่ง...หลวงพ่อท่านรู้ว่าพระรูปนี้มีพลังจิตสูงมาก...หลังจากนั้นท่านก็แยกทางไปประเทศลาวต่อไป...หลวงพ่อทบท่านไปอยู่ลาวหลายปีและเขมรอีกระยะหนึ่งก่อนเดินทางกลับมายังประเทศไทยและท่านได้เดินทางไปเรียนวิชากับพระธุดงค์อาวุโสท่านนั้นอยู่ประมาณ1ปีแล้วหลวงพ่อทบท่านก็เดินทางกลับเพชรบูรณ์เพื่อพัฒนาวัดวาอารามต่างๆในจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียงจนวัดวาอารามต่างๆที่หลวงพ่อทบท่านได้บูรณะไว้เจริญรุ่งเรืองจวบจนหลวงพ่อทบท่านมรณะภาพลงในปี 2519 มีการศึกษาและวิเคราะห์จากนักเล่นท้องถิ่นและศืษย์ของหลวงพ่อทบหลายๆท่านสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าพระธุดงค์รูปนั้นน่าจะเป็น...หลวงพ่อจั่นวัดบางมอญจังหวัดอยุธยานั้นเอง...จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อทบท่านแขวนเหรียญหล่อรุ่นแรกของหลวงพ่อจั่นวัดบางมอญติดตัวท่านตลอดจนเหรียญนั้นสึกไปมากและหลวงพ่อทบท่านนับถือหลวงพ่อจั่นมากที่เดียว...ไม่อย่างนั้นหลวงพ่อทบคงไม่เอาเหรียญของหลวงพ่อจั่นมาแขวนคอแน่นอนครับ... |