![]() ![]() |
![]() ![]() ![]() |
home-of-gsdlovers.pantown.com : บ้านคนรักเยอรมันเชพเพอด | [ลูกบ้านSignIn] [เจ้าบ้านSignIn] |
   เชพเพอดกับเกษตรธรรมชาติ
เมื่อราวต้นปี 2543 มีโอกาสได้ไปเข้าอบรมในโครงการห้องเรียนเกษตรกรรมธรรมชาติ จัดโดยสหกรณ์เลมอนฟาร์ม โดยไปอบรมที่สาขาสุขาภิบาล 3 ซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวางทำเป็นสวนผักไร้สารพิษ ส่งขายตามร้านสหกรณ์เลมอนฟาร์มทั่วกรุงเทพ ฯ
ท่านสมาชิกคงจะนึกในใจว่า แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอด ไหม(วะ)เนีย ? นั่นซินะมันก็ไม่น่าเกี่ยว, แต่ก็มีอะไรที่น่าสนใจในแง่ของคนเลี้ยงหมาเยอะทีเดียว (ไม่จำกัดว่าจะเป็นพันธุ์อะไร) ก็ทน ๆ อ่านไปก่อนแล้วกัน รู้ไว้ก็ไม่หนักหัวเปล่าหรอก มีประโยชน์อย่างมาก.....ชนิดที่คาดไม่ถึงเชียวละ
อย่างแรกที่เกี่ยวข้องกับแน่ ๆ คือ ผู้เขียนเองก็เป็นผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอด เหมือนกันเลี้ยงมันอยู่พันธุ์เดียวนี่แหละ แล้วก็ยังเป็นผู้ที่สนใจ ในเรื่องเกษตรธรรมชาติอย่างมาก มาตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ (ชาติก่อนคงเกิดเป็นชาวนา หรือไม่ก็สัตว์เลี้ยงยอดนิยมของชาวนาโบราณ
.ก็ควายนะซี !)
ไฝ่ฝันหนักหนาที่จะได้ทำนา ปลูกข้าว ปลูกผักกินเอง เลี้ยงไก่เอาไว้กินไข่ ฯลฯ หมกมุ่นคิดมากขนาดว่า จะปลูกฝ้ายเอาไปปั่นด้าย เก็บไว้ทอผ้าใส่เองนั่นเชียว........ถึงขั้นนี้,เพื่อนฝูงหลายคนชักเป็นห่วง สะกิดให้ไปปรึกษาหมอยงยุทธ ที่กรมสุขภาพจิตตรงข้าม รพ.รามาเสียบ้าง ได้ยินเข้าก็ดีใจใหญ่ นึกว่าหมอแกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปลูกฝ้าย หรือการทอผ้า, ที่ไหนได้
หมอยงยุทธ แกเป็นหมอปรึกษาโรคจิต !!
เอาละ,เลยเถิดไปไกล,เกือบกู่ไม่กลับเสียแล้ว กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า......
ความที่สนใจในเรื่องนี้อย่างมากมาตลอด เมื่อได้ทราบข่าวว่าเขาจะมีการอบรม โดยมีทั้งการสอน ภาคทฤษฎี และให้ผู้เข้าอบรม ได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยมีแปลงทดลองเหมือนจริงทุกประการ เป็นแปลงดินอยู่กลางแจ้ง โล่ง,กว้างขวางหลายไร่ (ไม่ใช่กระบะทดลองอันเท่ากระถางบอนไซ)
เป็นหลักสูตรสำหรับผู้เริ่มต้นจริง ๆ (ประเภทเกิดมาไม่เคยรู้ว่า ผักบุ้งก็มีเมล็ดด้วย) โดยจะสอนตั้งแต่ การเตรียมดิน,การหมักปุ๋ย และน้ำสกัดชีวภาพ การเพาะกล้า,การนำกล้าไปปลูกลงปลูก,การดูแลรักษา จนกระทั่งถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน คือวันเสาร์หรืออาทิตย์ก็แล้วแต่สะดวก
เมื่อไปเข้าอบรมวันแรก มีการแนะนำตัวกัน จึงรู้ว่า อ้าว !เป็นบ้านนอกเข้ากรุงอยู่ 2 คน (คือผู้เขียนกับลูกสาว) นอกนั้นเป็นคนกรุงเทพทั้งหมด
ฟังดูวิทยากรจะพูดคล้าย ๆ กับว่าโครงการนี้ต้องการช่วยให้คนเมือง รู้จักวิธีปลูกผักไร้สารพิษกินกันเองบ้าง โดยเหตุที่คนเมืองนั้นต้องซื้อเขากินล้วน ๆ ไม่มีทางเลือก แม้อยากจะเลือกก็ต้องลำบากมากในการจะไปหาซื้อพืชผักผลไม้ไร้สารพิษ ซึ่งไม่ได้มีวางขายตามร้านขายผักในซอยทั่ว ๆ ไป แม้แต่ตลาดสดใหญ่ ๆ ส่วนมากก็ยังไม่มีวางขาย
ถ้าใครมีที่เป็นดินสักกว้างศอกยาววา ก็สามารถปลูกผักกินเองได้อย่างสบายปลอดภัยไร้พิษ โดยมาเข้าอบรมโครงการนี้นั่นเอง บรรดาเพื่อนร่วมโครงการ ต่างรู้สึกทึ่งมากในความโง่แต่ขยัน(ขับรถ) ของเรากับลูกสาว
ที่ว่าโง่นั่น คือถ้าอยู่บ้านนอก ก็น่าจะสามารถหาคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ได้รอบตัวที่จะไปขอความรู้จากเขาได้ง่ายกว่า และที่ว่าขยัน คือ อุตส่าห์ขับรถถ่อมา 2 ชั่วโมง กลับอีก 2 ชั่วโมง เพื่อจะมาเรียนวิธีปลูกผักไร้สารพิษแค่นั้นเอง
มีคนจากหลากหลายอาชีพมาร่วมอบรมในคราวนั้น ที่อายุมากที่สุด เราเรียกกันว่า อาม่า อายุ 84 ปีแล้ว แต่ตัวเล็กคล่องแคล่วว่องไวอารมณ์ดีตลอดเวลา เป็นดาราของรุ่น ซึ่งเปิดอบรมเป็นรุ่นแรก
-----------------------------------------------------------------------------
เริ่มการอบรมโดย วิทยากรหลายท่าน มาพูดคุย ถึงเรื่องโทษภัยของสารเคมีชนิดต่างๆ ที่มีผลกระทบทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม กับโลก, กับสิ่งแวดล้อม และที่ชัดเจนที่สุด,กับตัวเราเอง ช่วงนี้เป็นช่วงงีบเอาแรง นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดรายการ
..ก็ใคร ๆ ก็รู้ ๆ กันดีอยู่แก่ใจแล้ว ว่าสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ตั้งแต่สมัยปฏิวัติเขียว จนถึงปัจจุบันนี้ มันทำลายสิ่งแวดล้อม,ทำลายคุณภาพชีวิต และศักดิ์ศรีภูมิปัญญาดั้งเดิม ของเกษตรกรไทยจนยับเยินไม่มีชิ้นดีไปหมดแล้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งหดหู่ เหี่ยวแห้ง ในหัวใจ ก็เลยพาลนั่งหลับมันเสียเลย เพื่อจะได้สดชื่น ตื่นขึ้นมาฟังบรรยายเรื่องดี ๆ ที่น่าสนุกต่อไป
โครงการนี้ มีเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนคือ เพื่อจุดประกายให้ผู้บริโภค (เน้นกลุ่มคนในเมือง) เกิดกระแสค่านิยม ในการทำเกษตรกรรมแนวพึ่งตนเอง โดยการใช้สารธรรมชาติ,ลด,ละ,เลิกการพึ่งสารเคมีทางการเกษตร ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ดังนั้น วิทยากรทุกท่าน จึงพยายามชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของธรรมชาติดั้งเดิม ให้พวกเราได้เข้าใจกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋ จนหลาย ๆ คนเอามือเปล่าโกย ปุ๋ย ที่รู้ ๆว่าหมักมาจากขี้ (ของใครก็ช่าง) ขึ้นมาดมได้อย่างสนิทใจ(จริง ๆ) เพราะเข้าใจลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ และปุ๋ยหมักที่ว่านี้ ก็มีกลิ่นเหมือนดินใหม่ ๆ หลังฝนตก หอมสดชื่นจริง ๆ เสียด้วย (ก็ดมมาแล้วน่ะซีถึงรู้ไง!)
คงเล่ารายละเอียดกันไม่หวาดไม่ไหว จะตัดตอนเอาแต่เนื้อๆ มาเล่าสู่กันอ่านเลยก็แล้วกัน เผื่อใครเห็นประโยชน์(ที่ตั้งใจว่าจะนำเสนอ) จะได้นำไปใช้ ให้เกิดกระแสค่านิยมในแนวที่กล่าวมาแล้ว เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
**วิธีการหลัก ของเกษตรธรรมชาติ :
1. ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น (จะใช้แต่สารจุลินทรีย์ที่หมักขึ้นเองเท่านั้น)
2. ไถพรวนเฉพาะตอนระยะเริ่มแรก และลดการไถพรวนลงเรื่อย ๆ เพื่อรักษาโครงสร้างตามธรรมชาติของดิน
3. ฟื้นฟูสภาพดินด้วยวิธีธรรมชาติ เช่นคลุมด้วยใบไม้แห้ง,หญ้า,ฟาง เพื่อรักษาความชื้นของดิน
4. ใช้ปุ๋ยที่ได้จากธรรมชาติล้วน เช่น ปุ๋ยหมัก,ปุ๋ยคอกและปุ๋ยพืชสด
5. ไม่ปล่อยดินให้ว่าง , แห้งแล้ง , ต้องให้มีพืชปลูกตลอดเวลา , อย่างน้อยเป็นหญ้าหรือพืชคลุมดินก็ยังดี
6. ป้องกันศัตรูพืช โดยใช้สารจากธรรมชาติ เช่นสะเดา , ข่า , ตะไคร้ , ยาสูบ ฯลฯ
แค่นี้เอง
ใคร ๆ ก็ทำได้ มีข้อจำกัดสำหรับคนที่จะทำเกษตรกรรมธรรมชาติอยู่อย่างเดียว คือ ห้ามขี้เกียจ ความจริงก็คือ ใครที่มีความขี้เกียจเป็นลักษณะสำคัญประจำตัวแล้วละก้อ อย่าว่าแต่จะทำอะไรง่าย ๆ แค่นี้เลย แม้แต่จะแปรงฟันก็คงไม่ครบ 32 ซี่ (ถ้าฟันยังครบ) จะอาบน้ำก็คงไม่เคยถูขี้ไคลตัวเองเลยด้วยซ้ำไปละมั้ง
ในการทำเกษตรธรรมชาตินั้น สิ่งสำคัญ ที่จะต้องทำความรู้จักให้ลึกซึ้ง จนถึงขั้นยกมือไหว้ได้ด้วยความเคราพนับถือเสมือนญาติผู้ใหญ่ ก็คือแผ่นดิน ที่เดินเหยียบกันอยู่ทุกวันนี่เอง
เราจำเป็นต้องศึกษา โครงสร้างของดิน ที่มีอยู่ตามธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร (ก่อนที่จะถูกทำลายโดยสารเคมีทั้งหลาย) เพื่อที่จะปรับสภาพของดิน ให้กลับสู่สมดุลย์โดยธรรมชาติ ก่อนที่จะลงมือปลูกพืชใด ๆ ก็ตาม เรื่องโครงสร้างของดินนี้จะกล่าวถึงในตอนต่อไป
ตอนนี้จะเล่าถึงส่วนที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับพวกเราผู้เลี้ยงหมาพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดกันก่อน โดยวิทยากรรับเชิญท่านหนึ่ง เป็นนายทหารมาจากจังหวัดลพบุรี ท่านได้มาคุยให้ฟังถึงเรื่องประโยชน์ของน้ำสกัดชีวภาพ (น้ำหมักจากเศษผักผลไม้) ซึ่งประโยชน์ หลักจริง ๆ นั้น เราใช้สำหรับการทำเกษตรแบบธรรมชาติ คือใช้ในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือใช้เป็นปุ๋ยน้ำก็ได้ และใช้ร่วมกับสมุนไพรบางตัวทำเป็นยาป้องกันไล่แมลงศัตรูพืช อย่างได้ผล โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นยังใช้สำหรับแช่เมล็ดพืชก่อนนำไปหว่านเพาะ ช่วยเร่งการงอก,ใช้ฉีดพ่นดอกป้องกันการร่วงก่อนตัดผลและฉีดพ่นผลที่สุกได้ที่แล้วเพื่อป้องกันการร่วงเร็ว ใช้ใส่ในบ่อปลา และปรับสภาพน้ำในบ่อพักน้ำต่าง ๆ เพื่อให้น้ำมีสภาพสมดุลย์ จนสามารถนำกลับไปใช้ได้อีก ฯลฯ
วิทยาการท่านนี้ เล่าว่าถ้าใช้น้ำสกัดชีวภาพแบบเข้มข้น ไม่ต้องผสมอะไรเลย เอามาราดเป็นแนวรอบตัวบ้านปรากฏว่า แมลงคลานต่าง ๆ โดยเฉพาะที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับคน คือมด กับ แมลงสาปนั้น ไม่มากล้ำกรายอีกเลย
ที่น่าสนใจอย่างมากคือ ท่านบอกว่า ท่านเคยลองเอามาล้างเนื้อล้างตัวดู รู้สึกแสบยิบ ๆ ตรงที่มีแผล หรือเป็นรอยถลอก ท่านก็ลองทิ้งไว้จนตัวแห้ง แล้วราดน้ำสะอาดล้างตัวอีกครั้ง รู้สึกสดชื่นมาก ท่านว่าตัวหอมกลิ่นสดสะอาด คล้ายกลิ่นดินเวลาฝนตก และทำอย่างนี้บ่อยๆ แผลเล็กแผลน้อย, ผื่นคันต่าง ๆ แห้งสนิทได้เองอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องทายา
ต่อมามีนายทหารที่ท่านเคารพผู้หนึ่ง เลี้ยงหมา เยอรมันเช็พเพอดไว้ มาบ่นให้ท่านฟังเรื่องหมาเป็นโรคผิวหนัง เป็นแผลสะเก็ดหนองทั่วตัว ขนร่วง จนสาระรูปดูไม่ได้เลย รักษามาหลายหมอแล้ว เปลี่ยนอาหารหมามาสาระพัดอย่าง ก็ยังไม่ทุเลาเสียที ท่านเห็นว่า ตัวเองได้ลองใช้น้ำสกัดชีวภาพดูแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างที่มาเล่าให้เราฟัง (ผิวพรรณของท่านปัจจุบัน ในวันที่มาเป็นวิทยากร ก็ดูเกลี้ยงเกลาสดใสกว่าวัยจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาบน้ำสกัดชีวภาพหรือเพราะอะไรอย่างอื่น) ท่านว่า ถ้าคนใช้ได้ผลดี ก็น่าจะดีกับหมาด้วย ท่านก็เลยเอาน้ำสกัด ชีวภาพนี้ ให้ไปทดลองใช้กับหมาดู โดยผสมน้ำให้เจือจางลง,ลองดูว่าพอหมามันทนได้(ไม่แสบจนมันเข็ดไม่ยอมให้อาบ) ราดตัวหมาทิ้งไว้ รอจนตัวแห้ง ตรงไหนมีสะเก็ดแผล, ขี้เรื้อนก็เน้นตรงนั้นให้มากหน่อย ราดให้ถูกผิวหนังให้ทั่ว พอตัวแห้งดีก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ ท่านบอกว่าเจ้าของหมานำไปใช้ ไม่นานก็เชิญท่านไปดูผลงาน ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์เช่นกัน
เจ้าเช็พเพอดขี้เรื้อนกลับกลายเป็นเจ้าชายเช็พเพอดผู้สง่างาม ขนหนาแน่น หางเป็นพวง เปิดขนดูหาแผลสะเก็ดหนองที่เคยเป็นเต็มตัว ไม่เจอเลยสักแผลเดียว ขนก็สวยเป็นมันแถมยังกลิ่นสะอาดอีกต่างหาก ท่านภูมิใจหนักหนากับยาขนานนี้ ถึงกับให้เบอร์โทร.ของเจ้าของหมาไว้ด้วย ว่าถ้าไม่เชื่อที่ท่านเล่า ก็ไปดูด้วยตาตัวเองได้เลย
สำหรับผู้เขียนเอง เมื่อได้ฟังก็แสนจะดีใจเป็นหนักหนา พอกลับถึงบ้านก็รีบดำเนินการตามที่ได้ฟังมา น้ำสกัดชีวภาพ ทำเองไม่ทันก็ซื้อเขาเอามาก่อน ขวดละ 15 บาท เท่านั้น (ขนาดน้ำสิงห์ขวดใหญ่) ซื้อจากสหกรณ์เลมอนฟาร์มที่ไปอบรมนั่นแหละ ที่บ้านมีหมาอาวุโสเจ้าปัญหาอยู่ตัวหนึ่ง อาการเหมือนกันเปี๊ยบ ก็จัดการให้คุณแม่บ้านชโลมน้ำยาและทำตามขั้นตอนที่ฟังมา ทุก 2-3 วัน เดือนเดียวให้หลังเห็นผลทันตา แต่ไม่ถึงกับกลายร่างเป็นนางพญาเช็พเพอดเพราะยายแกอายุถึง 11 ปี แล้ว ขนก็ขาวเกือบทั่วตัวแต่แผลหายหมด กลิ่นตัวก็ไม่มี แถมผลพลอยได้คือ คุณแม่บ้านที่แกมักจะเป็นโรคแพ้ผงซักฟอกเป็นหนองตามซอกเล็บมือ (เขาเรียกกันว่า โรคน้ำกัด
) ก็พลอยหายสบายมือไปด้วย ตั้งแต่นั้นมา คุณแม่บ้านเธอก็จัดการทำน้ำสกัดชีวภาพเก็บไว้ใช้เองประจำบ้านมิได้ขาด และมีชีวิตอยู่โดยปราศจากโรคน้ำกัดมืออย่างมีความสุขตลอดไป
เอาละกลับมาฟังบรรยายจากท่านวิทยากรต่อ
นอกจากรักษาโรคผิวหนังเช็พเพอดได้ชงัดแล้ว ยังมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงและไม่น่าเชื่อ สำหรับพวกเราคนเลี้ยงหมาอีกเรื่องหนึ่ง คือ สามารถกำจัดกลิ่นอึหมา,ฉี่หมา ที่พวกเรา (พยายามที่จะทำความ) คุ้นเคย อันสุดแสนจะทนทาน ยิ่งถ้าคนที่บ้านหรือคนรอบข้างรังเกียจหมาด้วยแล้วละก้อ แทบจะต้องเป็นปัญหาบ้านแตกกันทีเดียว
ท่านวิทยากรเล่าว่า เรื่องนี้หมูมาก เอาน้ำสกัดชีวภาพผสมน้ำสัก 1:50 ถึง1:100 (ใช้น้ำสกัดชีวภาพมากน้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกลิ่น) ล้างพื้นด้วยน้ำธรรมดาสะอาดแล้ว ก็เทน้ำสกัดชีวภาพที่ผสมไว้ ราดลงไปให้ทั่วบริเวณแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่าแปรงฟัน แต่งตัวลงมาอีกที รับรองบ้านหอมเหมือนอยู่ชายเขาหลังฝนตกใหม่ ๆ , ตรงไหนเหม็นก็ราดลงไปตรงนั้น ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตั้งใจให้ดีอย่าวอกแวก ทำสมาธิจิตอธิษฐานในใจว่า หายเหม็นแน่ ๆ มันก็ต้องหายเหม็นอย่างที่ตั้งใจแน่นอนซิน่า
มีเคล็ดลับที่ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง สำหรับการใช้น้ำสกัดชีวภาพ เนื่องจากตัวมันเอง มีสภาพเป็นจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำงานโดยการย่อยสลายอินทรีย์สาร และสารพิษต่าง ๆ ให้เกิดสารอินทรีย์และเอนไซม์ที่มีประโยชน์ ดังนั้น ไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีที่มีฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เช่น ผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างพื้นล้างห้องน้ำที่มีกรดเข้มข้น ซึ่งจะทำลายจุลินทรีย์ธรรมชาติ ในน้ำสกัดชีวภาพ ที่นี้พอใช้แล้วไม่ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์เหมือนเราก็จะมาหาว่าหลอกกันละซี
----------------------------------------------------------------------------------
คราวนี้ ก็จะเป็นกรรมวิธีการทำน้ำสกัดชีวภาพ หรือน้ำมหัศจรรย์ ซึ่งมีคนหัวใส เอาไปผสมน้ำใส่ขวดส่งขายทางไปรษณีย์ขวดละ 200-300 บาท ทำนองว่าเป็นปุ๋ยมาจากสวรรค์อะไรเทือกนั้นป่านนี้ คงรวยเละไปแล้ว
ก่อนอื่นก็มาทำควรรู้จักกับน้ำสกัดชีวภาพกันก่อน ซึ่งก็คือน้ำที่ได้จากการหมักพืชผัก ผลไม้ ประเภทอวบน้ำทั้งหลาย (เช่นผักตบชวา, ต้นกล้วย, ผักกาด, สับปะรด, มะละกอ ฯลฯ) กับน้ำตาล โดยหมักไว้ในสภาพไร้อากาศ จะได้น้ำหมัก ที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นยีสต์, แบคทีเรียที่สร้างกรดเลกติก และรา แบคทีเรียสังเคราะห์แสงก็เคยพบบ้างในน้ำสกัดชีวภาพนี้
การหมัก ต้องใช้ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เพื่อให้วัสดุหมักอยู่ในสภาพไร้อากาศ อย่างที่บอกตอนแรก เพราะถ้ามีอากาศเข้าไปได้ ก็จะมีจุลินทรีย์ที่ไม่ได้รับเชิญ แอบแฝงเข้ามาในกระบวนการหมักของเรา ก็จะทำให้เกิดหนอน และมีกลิ่นเหม็นได้ แต่ก็ไม่เป็นโทษ
ท่านที่เลี้ยงนก เลี้ยงไก่ หรือเลี้ยงปลา ก็สามารถช้อนหนอน ในน้ำหมักนี้ไปให้นก ให้ไก่ ให้ปลากิน ได้มีวิตามินดีเสียอีก ส่วนน้ำหมักก็นำมาใช้ได้ตามขั้นตอนปกติ แต่จะไม่หอมน่าใช้ เท่ากับน้ำหมักที่ได้จากการหมักในสภาพไร้อากาศจริง ๆ
**วิธีการ ก็เริ่มด้วยการ นำ พืชผัก ผลไม้ ประเภทอวบน้ำ ที่หาได้ (ถ้าบ้านอยู่ใกล้ตลาดอาจไปขอเศษผัก หรือเปลือกสับปะรด, หรือเศษผลไม้ที่มีน้ำมากจากแม่ค้า เอามาคัดที่เน่า ๆ ออกทิ้งก่อน) ควรใช้ของสด ๆ จึงจะได้น้ำมาก
นำมาใส่ในถัง (หรือถุงพลาสติกแบบไม่รั่ว)ผสมกับน้ำตาล ในอัตราส่วน น้ำตาล 1 ส่วน ต่อ พืช 3 ส่วน โดยน้ำหนัก คลุกให้เข้ากันดี (ถ้าใช้กากน้ำตาลใหม่ ๆ จะดีมากถ้าหาไม่ได้ ใช้น้ำตาลอะไรก็ได้) เมื่อคลุกจนทั่วแล้ว หาของหนัก ๆ วางทับข้างบนจะได้ไล่อากาศ (วางทับไว้สัก 1 คืน ก็เอาออกได้) เสร็จแล้วต้องปิดภาชนะหมักให้สนิท ถ้าเป็นถุงพลาสติก ต้องแน่ใจว่าจะไม่รั่ว มัดปากถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้อากาศเข้าได้ เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้จุลินทรีย์ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรวางถังหรือภาชนะหมักไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแดดถูกฝน หรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ก็เป็นอันเสร็จกรรมวิธีการหมัก
จากนั้นก็ทิ้งไว้ ให้จุลินทรีย์เขาทำงานแบ่งตัวเอง เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากมาย ผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิด รวมทั้งเอนไซม์ ฮอร์โมนและไวตามินบางชนิด ด้วย
ประมาณ 10-14 วัน ก็เปิดภาชนะ, ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกใส่ภาชนะพลาสติกไว้ น้ำหมักที่ได้ใหม่ ๆ จะยังเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ เนื่องจากกระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์ต้องคอยขยับเปิดฝาภาชนะบรรจุ ทุกวัน จนกว่าจะหมดก๊าซ (ถ้าใส่ขวดพลาสติกไว้ ก็คอยคลายเกลียวฝาขวดจนได้ยินเสียงลมออกมาจึงหมุนเกลียวปิดตามเดิม ทำทุกวัน จนไม่มีเสียงลม) จากนี้ก็นำไปใช้ได้เลย
-----------------------------------------------------------------------------------
น้ำหมักที่มีคุณภาพดี จะมีกลิ่นและรสเปรี้ยวเหมือนน้ำผักดอง มีกลิ่นแอลกอฮอล์บ้าง ถ้าใช้ผลไม้ที่สะอาด และใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลทรายขาว เมื่อหมักได้ที่แล้ว นำมากรอง ดื่มอร่อยเหมือนไวน์ และมีประโยชน์ มากด้วยเพราะประกอบด้วยจุลินทรีย์, เอนไซม์, ฮอร์โมนและวิตามินหลายชนิด ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดีกว่าไปซื้อเหล้านอก, ไวน์นอกราคาแพง มากินให้เสียดุลย์การค้า
**เอกสารอ้างอิง : คู่มือโครงการห้องเรียนเกษตรกรรมธรรมชาติ จัดทำโดย สหกรณ์เลมอนฟาร์มพัฒนา จำกัด ร่วมกับ ชมรมเกษตรธรรมชาติ แห่งประเทศไทย
--------------------------------------------------------------------------------
เช็พเพอดกับเกษตรธรรมชาติ (2)
**เป็นอย่างไรกันบ้างท่านพ่อแม่ พี่น้องและท่านสมาชิกผู้มีอุปการะคุณต่อพรรค
เอ้ย
.ต่อสมาคมฯ ทุกท่าน ได้ทดลองทำไวน์ลูกทุ่ง (น้ำสกัดชีวภาพ) มากรึ้บกันดูบ้างหรือยัง ?
**จะบอกให้ว่า มะเฟืองเปรี้ยวนั้นเอามาหมักสัก 7-10 วัน กรองเอาแต่น้ำใส่ขวดใส่ตู้เย็นไว้ (ถ้าเก็บไว้ข้างนอกจะเปรี้ยวขึ้นและมีแอลกอฮอล์สูงขึ้นเรื่อย ๆ) เวลาจะดื่มเติมน้ำมะนาวนิดหนึ่ง น้ำโทนิคสักครึ่งแก้ว อร่อยชื่นใจอย่าบอกใคร
รสชาดอย่างกับ Sparkling Wine แน่ะ ผลไม้ทุกชนิดที่มีรสเปรี้ยวจัดอมฝาดหน่อยยิ่งดี และเป็นพวกผลไม้ฉ่ำน้ำ เอามาหมักดื่มรับรองอร่อยทุกอย่าง แต่ท่านอาจารย์สอนไว้ว่า
**พิเศษสุดไม่เหมือนใคร ก็คือ ฝรั่งสุก ซึ่งรสชาดไม่เข้าสเปคเลย (ไม่เปรี้ยว,ไม่หวาน,ไม่ฝาด) แต่หมักแล้วได้ผลดีมาก คือให้แอลกอฮอล์สูงดื่มแล้วเมาเหมือนเหล้าเลยละ ประหยัดค่าเหล้าได้เยอะแถมยังได้ประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหารไม่กัดกระเพาะลำไส้ทะลุด้วยนะ
คราวก่อน เรียนท่านพ่อแม่พี่น้องสมาชิกที่เคราพไว้ ว่าจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างตามธรรมชาติของดิน และประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของเกษตรธรรมชาติที่เกี่ยวกับเรา ๆ ท่าน ๆ กัน ต่อจากตอนที่แล้ว
หลาย ๆ ท่านคงนึกในใจว่า หมดเรื่องเขียนแล้วละซี ถึงจะมาเขียนเรื่องดิน ฮี่ธ่อ ! เดินเหยียบมาตั้งแต่เกิด ใครมันจะไม่รู้จัก ผู้เขียนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแหละ ตอนที่วิทยากรท่านเริ่มเกริ่นหัวเรื่องพอเราได้ยินว่าท่านจะพูดเรื่อง ดิน ก็จัดแจงขยับตัวเอนหลัง ตั้งท่าสบาย เตรียมงีบต่อ
. หลับตาฝันไปเรื่อย ๆ
.อ้าว !, เอ๊ะ ! ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าเป็นอย่างนั้น,อ้อ! มิน่าละมันถึงเป็นอย่างนี้
เอ๊ะมันยังไงกัน
แก่ป่านนี้,เรียนมาก็น่าจะเยอะพอแล้วนะนี่, ทำไมเรื่องใกล้ ๆ,ใต้ส้น
..ตัวเองแท้ ๆ กลับไม่รู้อะไรเลย ไอ้ที่นึกว่ารู้หมดแล้ว ที่แท้มันแค่ผิว ๆ ดินเท่านั้นเองน่ะ
**ดิน คืออะไร ? ใครตอบได้บ้าง ? ไหนใครว่ารู้จักมาตั้งแต่เกิดยังไงล่ะ
..ที่แท้ก็คงเหมือนผู้เขียนนั่นแหละน่า
..รู้แต่ว่า ในดิน โดยธรรมชาตินั้น ก็จะต้องประกอบด้วย ใบไม้,กิ่งไม้,มูลสัตว์ต่าง ๆ ทับถมกันนาน ๆ มีความชื้นเข้าไปร่วมด้วย ก็เกิดอาการเปียกแฉะ เปื่อยยุ่ยไปเรื่อย ๆ เนื่องจากสิ่งที่ทับถมกันเหล่านี้ คืออินทรีย์วัตถุ ซึ่งเกิดจากบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ ที่เมื่อทับถมกันนาน ๆ เข้าก็เปื่อยยุ่ยย่อยสลายกลายสภาพเป็นวัตถุสีดำ,ร่วนซุย เป็นแหล่งอาศัยของพืช และสัตว์ตระกูลต่าง ๆ ทั้งที่มองเห็นได้ด้วยตา และที่ต้องส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จึงจะเห็น เช่นจุลินทรีย์ต่าง ๆ
เจ้าวัตถุสีดำลักษณะร่วนซุยนี่แหละที่เราเรียกว่า ดิน ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นพื้นกว้างใหญ่ ก็เรียกว่า แผ่นดิน ถ้ามีลักษณะเกาะกันเป็นก้อนก็เรียกว่า ก้อนดิน ถ้าเป็นดินที่มีรั้วล้อมรอบ,มีกรงสัตว์เยอะ ๆ ก็เรียกกันว่า เขาดิน
..เอ๊ะ! ยังไง ?!
..ออกนอกเรื่องอีกแล้ว!!
เอาเป็นว่า ดิน ที่เกิดจากการย่อยสลายเน่าเปื่อยผุพังของอินทรีย์วัตถุที่ทับถมกันเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นลักษณะร่วนซุยมีสีดำนั้น มีชื่อเรียกว่า ดินมีชีวิต ดินชนิดนี้ถูกปกคลุมด้วยเศษใบไม้,กิ่งไม้,มูลสัตว์ ตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาก็จะย่อยสลาย กลายเป็น ดินมีชีวิต ต่อไปเรื่อย ๆ
ถ้าเราขุดลึกลงไปอีก ดินก็จะมีสีจางลง เช่นน้ำตาล,เหลือง,ขาว ซึ่งมีส่วนประกอบของหิน,กรวด,ทราย และรากแก้วของต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่ช่วยยึดลำต้นไม่ให้ล้มใครที่เคยเข้าป่าคงจะคุ้นตากับดินประเภทนี้ดี
ดินมีชีวิต : มี 2 ความเหมาย คือ :-
1. ดิน ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่างมากมาย เช่น แมลงต่าง ๆ,ไส้เดือน,
จุลินทรีย์,เห็ด,รา และสิ่งมีชีวิตไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอีกหลากหลายเป็นล้านชีวติ
2. ดินที่เป็นแหล่งยังชีพของสิ่งมีชีวิต ได้อาศัยทำการเพาะปลูก เป็นดินที่พืชเจริญเติบโตได้ดี สัตว์กินพืช จึงอาศัยดำรงชีพอยู่ได้
ยังมีดินอีกประเภทหนึ่ง เป็นดินที่พืช,สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น ๆ ไม่สามารถอาศัยมีชีวิตอยู่ได้ มีลักษณะเป็นดินแห้งและแข็งมาก ปลูกพืชไม่ได้ เรียกว่า ดินที่ตายแล้ว เช่นดินบนถนนลูกรัง เป็นต้น
ดินประเภทนี้หาดูได้ง่าย ตามพื้นที่ทำการเกษตรแผนใหม่ทั่วไป ที่ใช้สารเคมี เป็นคำตอบสำหรับปัญหาทุกอย่าง ของเกษตร ตั้งแต่การปราบวัชพืช,ฆ่าหอยเชอรี่,การเร่งการเจริญเติบโตของพืช ฯลฯ ล้วนแต่แก้ได้ด้วยสารเคมีทั้งสิ้น ซึ่งวิธีใช้ก็ง่ายมาก เพียงผสมน้ำฉีดพ่นหรือหว่านลงบนดินโดยตรง หรือง่ายกว่านี้อีกคือ มีมือปืนรับจ้างสำหรับงานอันตรายนี้โดยเฉพาะ เอาเงินมาจ่ายแล้วนั่งเฉย ๆสูบบุหรี่,เล่นหมารุก,หรือนอนกระดิกขารอได้เลย เดี๋ยวมือปืนจัดการเอง (การฉีดพ่นสารเคมีเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ของผู้ทำงานนี้อย่างมาก ต้องมีเครื่องป้องกันอย่างดีและถูกต้อง)
การใช้สารเคมีทุกรูปแบบ เพื่อหวังผลผลิตที่ผิดธรรมชาติ เช่นนี้ เป็นสาเหตุให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในดิน ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นการตัดวงจรของห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ ทำให้ดินขาดสมดุลย์และความอุดมสมบูรณ์ ทำการเพาะปลูกไม่ได้ผลดีอีกต่อไป
ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องเพิ่มปริมาณสารเคมีต่าง ๆ มากขึ้นทุก ๆ ปี เพื่อแก้ปัญหาการปลูกพืชไม่ได้ผล ซึ่งกลับกลายเป็นการสร้าง ห่วงโซ่สารเคมี ขึ้นมา แทนห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ ที่ขาดหายไป
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะทำอย่างไรกันดีหนอ
ที่จะชุบชีวิตดินที่ตายแล้วนี้ ให้กลับพื้นคืนสู่สภาพสมดุลย์โดยธรรมชาติและดำเนินชีวิตแบบดิน ๆ ดั้งเดิมต่อไปตามวงจรวัฏจักรของสังคมดินที่อุดมสมบูรณ์ในอนาคต ให้เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแหล่ รวมทั้งเป็นแหล่งที่ สัตว์อื่น ๆ ได้ดำรงชีวิต,อาศัยเพาะปลูก,ทำมาหาเลี้ยงชีพ ได้ตามปกติเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต
พวกเราบางคน อาจจะเคยรู้จักแต่ ดินที่ตายแล้ว,แบบที่เวลาจะขุดหลุมปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง พอเอาจอบสับดินลงไป จอบก็กระเด้งขึ้นมาโขกหน้าหงาย
.หมดอารมณ์ไปเลยนั่นแหละ
แต่พวกเราก็จะบอกว่า
ไม่มีปัญหา ของกล้วย ๆ แบบนี้
ว่าแล้วก็ไปซื้อ "ดินผสมสำหรับปลูกต้นไม้" แบบที่มีขายเป็นถุง ๆ ตามร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์การเกษตรทั่ว ๆ ไปนั่นไง,ง่ายจะตาย ไม่เห็นจะต้องมานั่งคิด นั่งทำอะไรเองให้มันเสียเวล่ำเวลา
เอาน้ำรดไอ้เจ้า ดินที่ตายแล้วเนี่ยให้มันเปียกๆ พอจอบสับลงได้แล้วก็ขุดหลุม เอาดินสำเร็จรูป ที่ซื้อมา ใส่ก้นหลุมหน่อย เอาต้นไม้ใส่ลงไป เอาดินสำเร็จรูปที่เหลือกลบให้เต็มหลุม ก็เป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนั้นก็รดน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้งหลังอาหารให้ปุ๋ยเม็ด แบบเร่งใบ หรือจะเร่งดอก,เร่งผล ก็มีให้เลือกตามใจชอบ
เวลาไปซื้อดินเขาก็จะแนะนำสูตรสำเร็จในการปลูกต้นไม้ให้ได้ผลและสวยงามพร้อมกับได้ขายทั้งดิน และปุ๋ยไปด้วยเสร็จสรรพเผลอ ๆ อาจจะได้ขายอุปกรณ์การให้ปุ๋ยทางใบ ทั้งปุ๋ยน้ำและเครื่องฉีด,ปุ๋ยอีกชุดนึงต่างหากได้อีก
คงจะไม่สงสัยกันหรอกนะ ว่าทำไมเจ้าของร้านขายพวกอุปกรณ์เหล่านี้ จึงใส่ทองเส้นโตเท่านิ้วโป้งกันแทบทุกร้าน ทั้งนี้
.ต้องมีหมายเหตุด้วยว่าเป็นเจ้าของร้านที่ขยันทำ,ขยันหาของเข้าร้านด้วยนะ ไม่ใช่ลูกค้ามาเคาะประตูเรียกแล้วยังนอนกรนครอก ๆ
ต้องย้ำกันบ่อย ๆ เรื่องความขยัน เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ติดตั้งมากับตัวจากโรงงาน ตั้งแต่เกิดกันทุกคน อุปกรณ์นี้ใช้ทำอะไรก็ประสพผลสำเร็จทุกอย่าง ไม่มีการสึกหรอ ไม่ต้องซ่อมแซม ยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรงทนทานมากขึ้น แต่ทำไมผู้คนไม่ค่อยชอบใช้กันก็ไม่รู้ซีนะ
กลับตะเกียกตะกายหาซื้อเครื่องทุ่นแรงสาระพัดสาระพันมาใช้แทนกันเสียนี่ แพงเท่าไรไม่ว่า ขอให้มีใช้เทียมหน้าเทียมตาข้างบ้านเขาให้ได้ เตาแก๊ส,กระทะไฟฟ้า,หม้อหุงข้าวไฟฟ้า,เครื่องซักผ้า,เครื่องตัดหญ้า,เครื่องเกี่ยวข้าว,เครื่องหยอดเมล็ด ฯลฯ (นี่พูดถึงเกษตรกรนะเนี่ย) โอย
..
.จาระไนไม่หวาดไม่ไหว
นอกจากจะมีเครื่องทุ่นแรงมาทำงานแทนแล้ว ยังมีเครื่องบั่นทอนความขยันอีกมากมาย ที่จำเป็นต้องมี ไม่ให้น้อยหน้ากันอีกเหมือนกัน อย่างกับ ทีวี วีดีโด คาราโอเกะ ดีซีดี สเตริโอ ฯลฯ พูดแล้วเหนื่อย และเริ่มออกอาการท้อแท้
เลิกพูดดีกว่า
.หันกลับมามองอะไรในมุมที่สร้างสรรค์โลกให้สวยงามต่อไปกันเหอะ
คุยกันไปถึงไหนแล้วละเนี่ย ออกนอกเรื่องจนลืมหัวข้อไปเลย อ้อ ! เราจะมาหาวิธีทำ ดินตาย ให้เป็น ดินมีชีวิต กัน ก็ต้องใช้วิธีการของธรรมชาตินั่นเอง ในการคืนชีวิตให้ธรรมชาติ ให้มารดาแห่งธรรมชาติ(Mother Nature) เขาดูแลลูก ๆ ของเขาเอง เราอย่าเอาอะไรที่มัน ผิดธรรมชาติ เข้าไปยุ่งกับเขา
วิธีการของเกษตรธรรมชาติมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
1.ไม่ใช้สารเคมี ใด ๆ ทั้งสิ้น เช่นปุ๋ย,ยาฆ่าแมลง,ยาปราบศัตรูพืช ฯ
2. ลดการไถพรวน ให้น้อยลงเรื่อย ๆ จะไถเฉพาะระยะแรกที่จะปรับ
ปรุงดินเท่านั้น เพราะการไถพรวนมาก ๆ เป็นการทำลายสภาพโครง
สร้างตามธรรมชาติของดิน
3. ช่วยสร้างสภาพโครงสร้างตามธรรมชาติ ของดิน(ที่ตาย) โดยการ
คลุมดินด้วยใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง,ฟาง,และวัสดุธรรมชาติอื่น ๆ ที่หา
ได้ในท้องถิ่น อย่าปล่อยให้หน้าดินว่าง
4. ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ เช่นปุ๋ยหมัก,ปุ๋ยคอก,และปุ๋ยพืชสด
5. ช่วยเติมจุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์ลงในดิน
6. ใช้วิธีการที่ทันสมัยมาช่วย เช่นเทคนิคการเก็บรักษาเมล็ดพันธ์,การขยายพันธุ์พืชการปลูก,การดูแลเอาใจใส่,การให้น้ำ ตลอดวิธีการเก็บเกี่ยว
7. ปลูกพืชอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยให้มีพืชคลุมดินขึ้นคลุมหน้าดินไว้ก็ยังดี อย่าปล่อยให้ดินว่างเปล่า แห้งแล้ง จะทำให้จุลินทรีย์ตาย โครงสร้างดินก็จะสูญเสียสภาพตามธรรมชาติ
8. ป้องกันศัตรูพืช โดยสารสกัดธรรมชาติ เช่นสะเดา,ข่า,ตะไคร้,ใบยาสูบ ฯลฯ
จะเห็นว่า วิธีการของเกษตรธรรมชาตินี้ เป็นแนวทางของการเกษตรแบบ คนขยัน ยิ่งทำก็จะยิ่งให้ผลดี เป็นที่น่าภาคภูมิ อิ่มอกอิ่มใจ เพราะผืนดินแผ่นนั้น จะอุดมสมบูรณ์ ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี และเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกปี
คนทำก็จะขยันทำขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยิ่งทำก็ยิ่งนำพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงามขึ้น มีชีวิตที่มีคุณภาพขึ้นอย่างยั่งยืน,พอเพียงและเห็นผลชัดเจน
เรามาเริ่มกระบวนการ คืนชีวิตให้ดินที่ตายแล้ว กันดีกว่า ก่อนอื่นรวบรวมพลังจิต เพื่อนำอุปกรณ์สำคัญที่ติดตัวมาแต่กำเนิด คือความขยัน เตรียมไว้ให้พร้อมเป็นอันดับแรก (ถ้าไม่มีอุปกรณ์นี้ ก็เป็นอันว่าโครงการล้มเหลวมาตั้งแต่ในมุ้ง)
ระหว่างที่ยังไม่มีวัตถุดิบและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ก็เริ่มด้วยการช่วยสร้างสภาพโครงสร้างตามธรรมชาติของดิน ไปพลาง ๆ ก่อน โดยหาหญ้าแห้ง,ใบไม้,เศษวัสดุธรรมชาติอื่น ๆเช่น ต้นกล้วย,ต้นผักตบชวาที่ดึงขึ้นมาจากคูน้ำข้างถนนหน้าบ้าน ฯลฯ เอามาคลุมดินไว้ก่อน สับให้มันย่อยลงมาสักหน่อย จะได้ดูไม่รกลูกตา เกลี่ยให้ทั่ว ๆ ด้วยล่ะ จำไว้ให้แม่น ๆ ว่า.....อย่าปล่อยให้ดินว่างเปล่า ถ้าไม่ปลูกอะไร ก็ ต้องหาอะไร(ที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติ) คลุมไว้
ขั้นต่อมา ก็มาเตรียมทำปุ๋ยหมักชีวภาพกัน ทำเอาไปทำไมน่ะหรือ ก็จะได้เอาไปเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ลงไปในดินที่ตายแล้วไง
จุลินทรีย์พวกนี้เขาก็จะช่วยกันทำหน้าที่ของเขาต่อไปเอง
สิ่งที่จะต้องใช้ในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ มีดังนี้
1. มูลสัตว์แห้ง สับละเอียด 3 ส่วน นี่แหละที่เคยบอกว่า เป็นประโยชน์
กับพวกเราคนเลี้ยงหมา อย่างมากในการช่วยกำจัดขี้หมา (รวมถึงคนเลี้ยงเป็ด,ไก่,หมู,แมว,วัว ฯลฯ) โดยหาที่เหมาะ ๆ ที่มีแดดส่องถึงเต็มที่เก็บขี้หมาเอาไปทั้งผึ่งแดดไว้ตรงนั้นแหละ เวลาจะใช้ก็ไปโกยเอามา
2. แกลบดำ 1 ส่วน หาซื้อได้ตามโรงสีข้าวทั่วไป
3. อินทรีย์วัตถุอื่น ๆ 1 ส่วน หาได้ง่าย ๆ ทั่วไปเช่น แกลบ (เปลือกข้าว),ชานอ้อย,ขี้เลื่อย,เปลือกถั่ว,ขุยมะพร้าว ฯลฯ
4.รำละเอียด 1 ส่วน หาซื้อได้ตามโรงสีเช่นเดียวกับแกลบดำ
5. น้ำสกัดชีวภาพ 1 ส่วน + น้ำตาล (หรือกากน้ำตาล) 1 ส่วน+น้ำ 100 ส่วน (จำได้หรือเปล่าเอ่ย น้ำสกัดชีวภาพที่เราทำไว้เมื่อคราวก่อนไง, หรือว่ายังไม่ได้ลงมือทำ ? ถ้ายัง,ก็เริ่มลงมือได้แล้วยังไม่สาย)
หมายเหตุ : หน่วยที่ใช้ เป็นส่วน นั้น อาจใช้กะประมาณโดยโกยมากองไว้ ขนาดเท่า ๆ กัน เป็นกองละ 1 ส่วน ก็ได้ ไม่ต้องถึงขนาดตวงกันเป็นคิวเมตร,คิวฟุต
ต่อไปก็มาเริ่มลงมือทำ :
1.โกยส่วนผสมข้อ 1 ถึง ข้อ 4 มารวมกัน แล้วคลุกให้เข้ากันให้ทั่วถึงที่สุด
2.ผสมน้ำสกัดชีวภาพตามส่วนในข้อ 5 ใส่ในบัวรดน้ำคนให้เข้ากันให้ดีแล้วรดลงบนกองวัตถุแล้วคลุกเคล้าให้ทั่ว ประมาณว่าพอหมาดๆอย่าให้เปียกหรือแห้งจนเกินไป (ลองเอามือหยิบขึ้นมากำดู ถ้าจับกันเป็นก้อนอยู่ ก็แปลว่าชื้นกำลังดี,ถ้ายังแตกออกมาได้ แปลว่ายังแห้งไป ให้เติมน้ำที่ผสมไว้ลงไปอีก)
3.เมื่อส่วนผสมได้ที่ดีแล้ว โดยมากองรวมไว้แล้วเกลี่ยให้เรียบ ให้หนาประมาณ 2 คืบ,เอากระสอบป่านคลุมไว้ พื้นที่ใช้กองหมักปุ๋ย ไม่ควรกองบนพื้นดิน เพราะดินจะดูดความชื้นไปหมด อาจทำให้กระบวนการหมักไม่สมบูรณ์ เป็นพื้นซีเมนต์จะดีกว่า
4.ประมาณ 2-3 วัน ให้ตรวจดูกองปุ๋ยที่หมักไว้ ถ้ารู้สึกว่ามีความร้อนมาก ให้เปิดกระสอบที่คลุมออก กลับกองปุ๋ยใหม่ เพื่อช่วยระบายความร้อน แล้วจึงคลุมกระสอบหมักต่อไปอีกสัก 4-5 วัน กองปุ๋ยจะค่อย ๆ เย็นลง จัดการตักบรรจุกระสอบเก็บไว้ใช้ได้
**การหมักอาจทำได้อีกวิธีหนึ่ง
-โดยตักส่วนผสมตามข้อ 2 ใส่ถุงปุ๋ย มีท่อ PVC เจาะรูปักไว้ตรงกลางเพื่อช่วยระบายความร้อน(ระหว่างการหมักนี้ ถ้าไม่เกิดความร้อนเลย แสดงว่าผิดสูตร) เรียงถุงปุ๋ยนี้ บนท่อนไม้ที่เรียงห่าง ๆ ให้อากาศถ่ายเทได้ ทิ้งไว้ 5-7 วัน ก็นำออกมาใช้ได้
ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ได้ จะมีกลิ่นหอมสดชื่นของดินใหม่ คล้ายกลิ่นไอในบรรยากาศหลังฝนตก จะเห็นเชื้อราสีขาวขึ้นเป็นสาย ไม่ต้องตกใจ เพราะราสีขาวเป็นราที่ดี ถ้าเป็นสีดำ,เขียว,ส้ม,ฯลฯ จะเป็นราผู้ร้าย ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จับความที่อาจารย์บอกว่าเป็นอย่างนี้
บางครั้งเราใช้จำเอาแบบนกแก้วนกขุนทองเหมือนกัน เพราะหัวสมองหมุนคลื่นรับไม่ทัน (เรียกว่าเครื่องรับไม่ค่อยดี ว่างั้นเถอะ)ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจับความได้ เอามาทำดูมันก็ใช้ได้เหมือนที่อาจารย์ว่านั่นแหละ ก็สรุปเอาเลยว่า ฟังไม่ผิด
สิ่งสำคัญ ที่ต้องระวังในกระบวนการหมัก เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด คืออุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งก็จะอยู่ประมาณ 40 50 องศาเซลเซียส และความชื้น ควรจะประมาณ 30% ถ้าความชื้นสูงเกินไปก็จะทำให้เกิดความร้อน เกินอุณหภูมิที่เหมาะสมในกระบวนการหมัก ทำให้จุลินทรีย์ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะกลายเป็นจุลินทรีย์ง่อยไปเลย ซึ่งผิดวัตถุประสงค์โดยสิ้นเชิง
คราวนี้ เมื่อได้ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ดี ตามลักษณะที่ได้อธิบายมาแล้ว ก็จัดแจงกรอกใส่ถุงปุ๋ย (ถ้าใช้วิธีหมักในถุงอยู่แล้ว ก็ดึงเอาท่อระบายความร้อนออก) วางเรียงเก็บไว้ในที่ร่ม ที่ฝนสาดไม่ถึง ถ้าผึ่งให้แห้งสนิท(จับไม่ติดมือ บีบไม่จับเป็นก้อน) จะเก็บไว้ใช้ได้นานหลายเดือน
การใช้ก็ง่ายมาก แต่ก็มีข้อควรระวังเหมือนกับการใช้ปุ๋ย ใช้ยาทั่วไป คือต้องอ่านฉลากก่อนใช้ หรือพูดอีกอย่างคือ ต้องใช้ตามคำแนะนำของผู้รู้ เท่านั้น ไม่ใช่ใช้สุ่มสี่สุ่มห้า อยากใส่เท่าไหร่ก็ใส่ลงไป
ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่......อะไรก็ตามไม่ว่าจะดีวิเศษสักแค่ไหน ก็ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น มากไปก็อาจเป็นโทษ (หรือเปลืองโดยไม่จำเป็น) น้อยไป ก็อาจไม่ได้ผลแล้ว ก็เสียเปล่า
ความจริง ปุ๋ยหมักชีวภาพนี้ นำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่ยังไม่บอกให้หมดในคราวนี้หรอก (เดี๋ยวคราวต่อไปจะหมดภูมิเสียก่อน) ในตอนนี้เราจะคุยกันแต่เรื่อง ดิน ว่าเราจะมาทำ ดินตาย ให้กลายเป็นดินมีชีวิต กันอย่างไรล่ะ,จำได้ หรือเปล่า ?
ไปดูกันซิว่า ดินตาย ที่เราเอาวัสดุธรรมชาติไปคลุมทิ้งไว้เมื่อตอนแรกนั้น ยังอยู่ดีหรือเปล่า ? ลองเปิดดูกองใบไม้ใบหญ้า ที่เราไปสุมคลุมไว้ซิ, นั่นไง, เห็นไหมว่า ดินใต้กองใบไม้นั้น ดูชื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ ดิน ตรงที่ไม่มีอะไรคลุม
บางที่ อาจเริ่มมีราขาวขึ้นประปรายบ้างแล้ว เป็นนิมิตรหมายที่ดี ว่าดินผืนนี้ยังพอมีวี่แววแห่งชีวิต หริบหรี่อยู่รำไร ครั้นจะรอให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเอง ก็อาจจะช้าเกินการ จำเราต้องรีบเร่งเสด็จไปช่วย
อ้าว กลายเป็นลิเกไปเสียอีกแล้ว!! เอาละ เรามาลงมือลงไม้กันเลยดีกว่า
------------------------------------------------
**สูตรการปรับปรุงบำรุงดิน (โดยประมาณ อย่าซีเรียส) ต่อพื้นที่หน้าดิน 1 ตรม.
- แกลบดำ 6.2 กก (อย่าใส่มากกว่านี้ จะเค็มเกินไป ไม่อร่อย)
- ปุ๋ยหมักชีวภาพ 2 กก.(ใส่แค่นี้พอ,มากกว่านี้เปลืองเปล่าๆ)
ถ้ามีพื้นที่หน้าดินมากกว่านี้ ก็ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสัดส่วน
เทส่วนผสมลงบนพื้นที่หน้าดิน แล้ว ตี ให้เข้ากัน ตอนที่ไปอบรมที่แปลงสาธิต อาจารย์จะมีอุปกรณ์ หน้าตาเหมือนเครื่องสูบน้ำเล็ก ๆ มีที่จับเข็นเหมือนรถตัดหญ้า เข็นไปบนดิน ข้างใต้จะมีเหมือนใบพัด พอติดเครื่องแล้ว เราพาเครื่องเดินไป ใบพัดก็จะตีดินไปเรื่อย ๆ ระหว่างตีดินก็รดน้ำให้ทั่ว ๆ รดมาก ๆ หน่อยก็ดี น้ำจะได้เป็นตัวนำพาธาตุอาหารลงไปในดินให้ทั่ว ถ้าไม่มีเครื่อง ก็ใช้จอบคลุกพรวนกับดินก็ได้
ไม่ควรใจร้อนผลีผลาม ทำการปรับปรุงดินในพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเกินไป ถ้าจะเตรียมปลูกดอกไม้หรือปลูกผัก ก็ควรเตรียมดินพอปลูกได้สัก 1-2 แปลงขนาดประมาณกว้าง X ยาว = 1 X 6 ม. (หรือจะยาวกว่านี้,แต่ไม่ควรกว้างกว่านี้ เพราะจะสุดมือเอื้อม เวลาทำงาน เช่น การแต้มกล้า,หยอดปุ๋ย) แล้วทดลองปรับดินดูแค่นั้นก่อน
อาจทำแปลง เตรียมไว้แต่ยังไม่ปรับปรุงดิน เพื่อเอาไว้เปรียบเทียบสภาพดินที่ปรับแล้ว ดูผลการทำงานของปุ๋ยหมักชีวภาพของเรา ว่ากระบวนการหมักถูกต้องได้ผลดี เป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า
เพราะของพรรค์นี้มันพลาดกันได้ ก็อย่างที่บอกแล้ว ว่าองค์ประกอบมันมีหลายอย่าง (ขี้เกียจบรรยายใหม่ กลับไปอ่านกันเองแล้วกัน) อย่างหนึ่งที่จะมีผลมากก็คือ ถ้าไม่มีเครื่องตีดิน ก็ต้องใช้จอบ ซึ่งต้องใช้แรง ถ้าต้องทำเป็นบริเวณกว้าง ๆ ก็อาจขาด(กำลัง)ใจ ตายเสีย ก่อนจะพรวนดินเสร็จก็เป็นไปได้เหมือนกัน
เสร็จแล้ว ก็เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ล้างให้สะอาด เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ไปอาบน้ำอาบท่า รินน้ำสกัดชีวภาพที่หมักจากผลไม้ ใส่แก้วเติมโซดาหรือน้ำโทนิค บีบมะนาวสักครึ่งเสี้ยว ทุบน้ำแข็งใส่ คน ๆ ด้วยใบตะไคร้ที่เด็ดมาจากกอ ลากเก้าอี้มาตรงที่ร่ม ๆ หน่อย นั่งผึ่งพุง เหยียดแข้งเหยียดขาให้สบาย เรียกเช็พเพอดตัวโปรดมานั่งข้าง ๆ ลูบหัวหมาไปกรึ๊บน้ำหมักในแก้วไป แค่นี้ก็มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว ไม่เชื่อลองดู
7 วันต่อมา (อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ ก็ต้องใช้วิจารณญาณกันเองมั่งละนะ) จะเห็นว่าดินตรงที่ปรับปรุงไว้ มีลักษณะแตกต่างจาก ดินที่ยังไม่ได้ปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้ก็ลงมือปลูกต้นไม้ตามต้องการได้ตามขั้นตอนปรกติ ระหว่างที่ต้นไม้ที่ปลูกไว้ กำลังเจริญเติบโต อย่าลืมใช้น้ำสกัดชีวภาพและปุ๋ยหมักชีวภาพ แทนสารเคมี ในการดูแลรักษาต้นไม้ต่อไปด้วย
ในที่สุดเราทุกคน ก็จะได้ดมดอกไม้และกินผักที่ปลอดสารเคมี (ทีเป็นพิษ) กันทุกบ้าน และมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจโดยทั่วหน้ากัน สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
.