เทศกาลต่างๆในเยอรมนี
เทศกาลอีสเต้อร์ในเยอรมนี (Ostern )
สำหรับคริตศาสนิกชนนั้นวันนี้มีความสำคัญไม่แพ้วันอื่นๆเลย
บางที่กล่าวว่าเทศกาลอีสเต้อร์มีรากฐานมาจากเทศกาล Passah ( Pessach)-Fest ของชาวยิว
หนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะถึงวันอีสเต้อร์ ช่วงนี้จะเรียกว่า Karwoche (ซึ่งมาจากคำว่า Kara ซึ่งมีความหมายว่า ทุกข์ หรือ กังวล ) เนื่องจากชาวคริสต์จะระลึกถึงพระเยซูซึ่งถูกทรมาณ
วันที่ชาวเยอรมันเรียกว่า Gründonnerstag ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูนัดสาวก 12 คนมาพบกัน Judas เป็นสาวกที่ทรยศได้ลอบไปบอกให้ศัตรูของพระเยซูมาจับตัวท่านไปทรมาณ อาหารมื้อสุดท้ายร่วมกันกับสาวกนี้จะเรียกว่า das letzte Abendmahl ( คำว่า Gründonnerstag มาจากคำว่า gronan ซึ่งแปลว่า ร้องไห้ ครำครวญ)
วัน Karfreitag เป็นวันที่ Pontius Piratus สั่งประการชีวิตพระเยซู ที่เขา Galgotha โดยมีการตรึงฝ่ามือฝ่าเท้าของท่านด้วยตะปู บนไม้กางเขน และสามมงกุฏหนามเพื่อทรมาณท่าน พระเยซูสิ้นชีพ และ ถูกฝังในวันนี้
วัน Karsamstag เป็นวันที่ชาวคริสต์ไว้อาลัยแด่ พระเยซู
วัน Ostersonntag สตรี 3 คน ต้องไปทำความสะอาดศพของพระเยซู แต่ไม่มีร่างของท่านอยู่ในหลุม มีเทพมาปรากฏกาย และบอกว่าพระเยซูทรงคืนชีพ
ในเทศกาลอีสเต้อร์ของเยอรมันจะมีรูปแกะมาให้เห็นบ่อยๆ เรื่องจากสมัยก่อนมีการใช้แกะบูชายันต์ พระเยซูยังถูกเปรียบเป็นแกะซึ่งล้างบาปของมนุษย์ในโลก ( " Siehe, das Lamm Gottes, das die Sünden der Welt hinwegnimmt" : ไปอ่านได้ที่ Johannesevan 1,29 : Alten Testament )
ไข่ ในศตวรรษที่ 12 มีการใช่ไข่เป็นเครื่องเซ่นสังเวย นอกเหนือไปจาก ขนมปัง เนื้อตากแห้ง เรื่องจากไข่เป็นสัญญลักษ์ของความสมบูรณ์ และการเจริญพันธุ์อีกด้วย
ในศตวรรษที่ 13 มีการย้อมสีไข่ต้ม
ในศตวรรษที่ 17 ชาวโปรแตสแต๊นท์ ยกให้กระต่าย เป็นตัวสำคัญ โดยเป็นตัวนำไข่มาแจก และซุกๆซ่อนไข่ในสวน กระต่ายนั้นเจริญพันธ์ ขยายพันธุ์ได้เร็วและเมื่อกระต่ายนอน จะไม่หลับตา ดังนั้นเขาจึงใช้กระต่ายเป็นสัญญลักษ์ของชีวิตใหม่ หรือ ของอีสเต้อร์ ในขณะที่สมัยนั้น ชาวสวิส จะเชื่อว่านกคุ๊กคูเป็นตัวนำไข่มาแจก
ในเยอรมนีนั้น ชาวWestfalen เชื่อว่าสุนัขจิ้งจอก แจกไข่ ในขณะที่ชาว Thüringen เชื่อว่า นกกระสาเอาไข่มาแจก
แต่ในศตวรรษที่ 19 ความเชื่อเรื่องกระต่ายแจกไข่ หรือซ่อนไข่นั้นเป็นที่แพร่หลายไปทั่ว
..................................................................................
แม่บ้านชาวเยอรมันจะชวนลูกๆย้อมไข่กันในช่วงนี้ จะมีการแปะ ภาพสีรูปกระต่าย ไข่ ไก่ หรือ แกะสวยๆนามประตูหน้าต่าง
การย้อมสีไข่โดยอนามัย ไม่ใช่สีสังเคราะห์
นำไข่ 12 ฟอง นำ 1 ลิตร ผสมกับ
Rote Bete , Rotkohl-Blätter, Holunder Saft ต้ม 10 นาทีจะได้สีแดง
หัวหอมหั่น สองกำมือ ต้ม 30 นาทีจะได้สีส้มอมน้ำตาล
ดอก Kamille ( ชาดอกเก๊กฮวยก็ได้ค่ะ) มีจำหน่ายตามร้านขายยา ใช้ 2 กำมือ ต้ม 30 นาที ได้สีเหลือง
ใบ Brenessel-Blätter ต้ม 30 นาทีได้ สีเหลืองอมเขียว
หลังจากนั้น หากสียังไม่เข้ม นำแช่ในนำต้มที่ต้มไข่มา อีก 30 นาที พลิกข้างไข่ด้วยสีจะได้เข้มเท่าๆกันนะคะ
หากไข่เย็นแล้ว เอาเนยมาขัดให้เงาจะสวยค่ะ
เรียบเรียงบทความ โดย มพถ
ที่มา วารสาร Bild der Frau 14 März 2005
https://www.heiligenlexikon.de/Kalender/Ostern.html
วารสาร Stern 10.03.2005
เทศกาลคริสต์มาสในเยอรมนี
เทศกาลคริสต์มาสในเยอรมนี นั้นน่าสนใจไม่น้อยค่ะ เลยเรียบเรียง มาให้เพื่อนๆได้อ่าน และเรียนรู้ เทศกาลคริสต์มาสของชาวเยอรมันย่อๆค่ะ
เพื่อนๆ คงเคยได้ยินคำว่า อัดเว้นท์ (Advent) ในช่วงก่อนหน้าคริสต์มาสบ่อยๆ
คำว่า อัดเวนท์ Advent มาจากภาษาละติน แปลได้ใจความว่า การมา (Ankunft- อันคุนฟท์)
เพื่อระลึกถึง การที่พระเยซูจุติมาสู่โลกมนุษย์
ในช่วงนี้ ตามถนนหนทางจะมีการประดับประดาด้วยดวงไฟสีสดสวย แม่บ้านจะอบขนมคุ๊กกี้ต่างๆ หอมอบอวลไปด้วยกลิ่น ซินนาม่อน ( Zimt) มีการประดับประดาอาคารบ้านเรือน ต้นสนด้วยโคมไฟเล็กๆหลายดวง
มีการตกแต่งอัดเวนท์ครั๊นซ์ ( Der Adventskranz) ซึ่งทำจากใบสนนำมาปักในฟางหรือโฟม ซึ่งขดเป็นรูปวงกลม จะมีการประดับประดาด้วยไม้ดอก อื่นๆ หรือริบบิ้น ปัจจุบันนี้มีอัดเวนท์ครั้นซ์ซึ่งทำจากพลาสติกก็มี แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เทียน 4 ดอก วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนจะเรียกว่า อัดเว้นท์ที่ 1 จะมีการจุดเทียนดอกที่ 1 เมื่ออาทิตย์ที่ 2ผ่านมาถึง ก็จะมีการจุดเทียนดอกที่ 2 จนถึงดอกที่ 4 ซึ่งหมายถึงอัดเว้นท์ ที่ 4 หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส
อัดเว้นท์ครั้นซ์ ถูกคิดค้นโดยนาย Johann Hinrich Wichern (มีชีวิตอยู่ใน คศ.1808 - 1881)
เด็กๆใน รร.อนุบาลจะหัดท่องกลอนบทสั้นๆเกี่ยวกับ Advent บทนี้ให้ได้ยินบ่อยๆ คุณแม่ๆ เคยได้ยินลูกๆท่องกลอนนี้ไหมคะ
Advent , Advent, ein Lichtlein brent.
Erst eins, dann zwei, dann drei, dann vier.
Dann steht das Christkind vor der Tür.
อัดเว้นท์ อัดเว้นท์
เทียนดวงน้อยส่องแสงเรืองฉาย
ดอกที่ หนึ่ง และแล้ว
ดอกที่สอง และแล้ว
ดอกที่สาม และแล้ว
ดอกที่สี่
หลังจากนั้น.. ที่หน้าประตู...พระบุตรมาปรากฏกาย
...........................................................................................
วันนิโคเล้าส์ ( Nikolaustag)
วันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันนิโคเล้าส์ วันนี้จะเป็นวันที่ชาวเยอรมันรำลึกถึง Bischof Nikolaus von Myra ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 ท่านได้เห็นความสำคัญของเด็กๆและ ได้สนใจให้ความช่วยเหลือเด็กๆเป็นอย่างดี ดังนั้นท่านจึงอยู่ในใจเด็กๆเสมอมา
ในเย็นวันที่ 5 ธันวาคม เด็กๆจะแขวนถุงเท้า หรือรองเท้าบู๊ธ ไว้หน้าเตาผิงบ้าง หน้าประตูบ้าง เนื่องจากเด็กๆเชื่อว่า นิโคเล้าส์ จะนำขนมหวาน ของเล่นมาใส่ในถุงเท้า รองเท้าบู๊ธ
วันที่ 6 เมื่อเด็กๆตื่นขึ้นมาก็จะพบ ขนมหวาน ของเล่นเล็กๆน้อยๆในถุงเท้าของเขา
(หลายๆที่ในเยอรมนีรับความเชื่อของชาวอเมริกัน เรื่อง ซันตาคลอสนำของขวัญมาแจก ในหลายๆแคว้นยังมีความเชื่อว่าพระบุตรหรือ คริสต์คินด์ นำของขวัญมาแจกในช่วงคริสตมาส)
เพลง Morgen kommt der Weihnachtsmann ที่เด็กๆชอบร้องในช่วงนี้
Morgen kommt der Weihnachtsmann,
Kommt mit seinen Gaben,
Trommel, Pfeife und Gewehr,
Fahn und Saebel und noch mehr,
Ja ein ganzes Kriegesheer,
Moecht
Heilige Abend ไฮลิกเก อาเบนด์ วันที่ 24 Dezember
คุณพ่อคุณแม่จะประดับประดาต้นสน ด้วย โคมไฟเล็กๆ และนำของขวัญมาวางใต้ต้นสน
ในวันนี้ ชาวคริสต์ จะพากันไปโบสถ์ในตอนเย็น เพื่อสวดมนต์ รับศีลและร้องเพลงร่วมกันในโบสถ์ (Gottestdienst) หลายแห่งจะมีการแสดงละครของเด็กๆ ( Krippenspiel) ซึ่งเล่นเกี่ยวกับที่มาของพระเยซู หลังจากที่แยกย้ายกลับบ้าน จะมีการทำ Weihnachtsbescherung -พิธีย่างเข้าสู่คริสตมาส โดยที่แต่ละครอบครัวจะมีการกินเลี้ยงกันในครอบครัว เด็กๆจะได้รับของขวัญ มีการร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน
25.12 วันคริสต์มาส ชาวเยอรมันเรียกวันนี้ว่าวัน Weihnachten จะมีการกินเลี้ยงกันในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวที่อยู่ไกลจะหาโอกาสกลับบ้าน มาฉลองกับครอบครัวในวันนี้ค่ะ
เพื่อนๆ ในที่อื่นๆ ฉลองคริสต์มาสกันอย่างไรบ้างคะ เขียน หรือส่งรูปมาดู มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ
เรียบเรียงโดย มพถ. 24.11.2004
-----------------------------------------------------------------------
ตามที่สัญญาไว้กับหลานหงส์ ป้าเลยไปค้นและแปลเรื่องวันฮาโลวีนมาให้อ่าน แต่ป้าอยากให้หงส์ และหยก ไปอ่านภาคอังกฤษและเยอรมันด้วยค่ะจะได้เป็นการฝึกภาษาด้วย
Haloween
วันที่ 31 ตุลาคม นั้นจะมีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น Samhain , El Dia de los Muertos, All Saints´ Eve หรือ Halloween
คำว่า ฮาโลวีน สันนิษฐานว่ามีที่มาจากคำว่า All Hallows Night ของชาวคริสเตียนคาธอลิคใ นคริสตศัตวรรษที่ 16 คริสเตียนฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้มีการเรียกเทศกาลนี้ว่า Halloween
วันฮาโลวีนของทุกปี จะเป็นวันของชาวคริสเตียนที่จะเฉลิมฉลอง เชิดชูเกียรติแก่เหล่านักบุญของเขา แต่ในศตวรรษที่ 5 ที่เกาะ Celtic Ireland ในประเทศอังกฤษนั้นจะมีการฉลองวันขึ้นปีใหม่ของชาวเคลท์ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ฤดูร้อนสิ้นสุดลง ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลท์เรียกเทศกาลนี้ว่า Samhain ซึ่งเป็นการให้เกียรติแก่ เทพ แห่งความตายนามว่า Samhain
มีเรื่องเล่าขานกันมาตามความเชื่อของนักบวชชาวดรูดิคและชาวเคลท์ว่าโลกมนุษย์ และโลกแห่งตวามตายถูกกั้นด้วยผนังบางๆ ในวันนั้น วิญญาณที่หลุดออกจากร่างของผู้ตายจะกลับมายังโลกเสาะหาร่างใหม่เพื่อเอามาเป็นเจ้าของในวันปีใหม่นี้เอง ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความหวาดกลัวให้แก่ผู้มีชีวิตอยู่ เนื่องจากร่างที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นจะไม่ต้องการให้ใครมาเป็นเจ้าของ ดังนั้นในคืนวันที่ 31 ตุลาคม นักบวชนิกายดรูดริค ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเคลท์ จะระดมพลชวนคนมาจุดกองไฟกองใหญ่เพื่อขับไล่ภูติผี ปีศาจ และทำพิธีบูชายันต์ต่อเทพของพวกเขา จะดับไฟในบ้าน เพื่อทำอุณหภูมิรอบกายให้เย็นเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่ปราถนาของวิญญาณ นอกจากนั้นจะมารวมตัวกันก่อกองไฟกลางแจ้งและจะแต่งตัวเป็นปีศาจ นำก้อนถ่านแดงๆจากกองไฟที่ก่อใส่ในหัวผักกาดเจาะกลวงเป็นโคมไฟ แล้วเดินขบวนพาเหรดเสียงอึกทึกแห่ไปรอบ ๆ บ้านของเพื่อนบ้าน ส่งเสียงอึกทึก เท่าที่จะทำได้เพื่อขู่เหล่าวิญญาณที่กำลังมองหาร่างใหม่ ...ถ่านไฟนั้นจะถูกนำมาจุดต่อในบ้าน เนื่องจากพวกเขาเชือว่าระหว่างที่ไฟศักดิ์สิทธิ์ยังเรืองแสงอยู่ ปีศาจจะไม่เข้ามารบกวนได้
เมื่อจักรวรรดิ์โรมันคาธอลิค เข้ามาครอบครองชาวเคลท์ ได้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรมความเชื่อของสองเผ่าพันธุ์ขึ้น ในขณะที่ชาวเคลท์เฉลิมฉลองเทศกาล Samhain ของเขา ชาวโรมันได้มีการฉลองเทศกาล Feralia ซึ่งเป็นการระลึกถึงเทพธิดา Pomona เทพธิดาแห่งผลไม้ และต้นไม้ และจะฉลองในช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายนไล่ๆกัน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 สันตปะปา Boniface IV ได้กำหนดให้วันที่ 13 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันระลึกถึงพระแม่มารี ( the virgin mary)
ในคริสต์ศตวรรษ 8 ( ปี คศ.834) สันตปะปา Gregor III ได้เลื่อนวันระลึกถึงพระแม่มารี เป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยมีความประสงค์ที่จะกำจัดความเชื่อของชาวเคลท์
ใน คริสต์ศตวรรษที่ 8 ( ปี คศ.837) สันตปะปา Gregor IV ได้พยายามครอบคลุมความเชื่อของชาวเคลท์ โดยเปลี่ยนชื่อเทศกาล Samhain ซึ่งระลึกแก่เทพแห่งความตาย เป็นวัน All Saints`Eve ซึ่งระลึกถึงนักบุญผู้วายชนม์แทน
และใน คริสตศตวรรษที่ 11 ( ไม่มีการบ่งปีที่แน่นอน)ได้มีวันรำลึกถึงผู้วายชนม์ขึ้นมาอีก ในวันนี้ ญาติของผู้ตายจะประดับประดาหลุมฝังศพด้วยดอกไม้ โคมไฟ หรือเทียน
ในคริสตศัตวรรษที่ 16 ได้มีคริสเตียนฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้มีการเรียกเทศกาล Samhain นี้ว่า ฮาโลวีน ( Halooween)ซึ่งทำให้มีการยอมรับว่าเทศกาลนี้เป็นส่วนหนึ่งของชาวคริสเตียน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่ยอมรับของศาสนาคริสต์
ประเพณีวัน ฮาโลวีน ได้ถูกนำมาที่ประเทศอเมริกาเมื่อปี 1840 โดยคนเข้าเมืองชาวไอริชที่กำลังลักลอบขนมันฝรั่งเข้าไปยังประเทศของตนเอง ซึ่งกำลังขาดแคลน ส่วนประเพณี Trick-or-treat นั้น เป็นความคิดที่ต้นฉบับไม่ใช่พวกชาวไอริช แต่เป็นของชาวยุโรปซึ่งมีขึ้นในศตวรรษที่ 9 จะมีขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน ในวันนั้น เด็ก ๆ ชาวคริสเตียนจะเดินจากหมู่บ้านหนึ่ง ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อขออาหาร เค้ก ขนม หรือ "Soul cakes" เป็นเค้กขนมปังลูกเกดชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งผู้ที่ให้ก็จะสวดอวยพรให้กับญาติที่ตายไปแล้วให้ได้รับเค้กเหล่านี้ด้วย ในเวลานั้น มีความเชื่อกันว่า คนที่ตายนั้นจะลงไปอยู่ในขุมนรกหลังจากที่ตายไปแล้ว และผู้ที่สวดอวยพรให้หรือแม้แต่คนแปลกหน้าก็จะสามารถช่วยส่งให้วิญญาณขึ้นไปยังสวรรค์ได้
ส่วนประเพณี Jack-o-lantern นั้น น่าจะมาจากความเชื่อของชาวไอริช ซึ่งใมีตำนานหลายกระแส
บางตำนานเล่าว่า
คืนวันหนึ่ง แจ็ค ขี้เมาช่างตีเหล็กนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ ซาตานได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาและได้แจ้งความประสงค์ต้องการวิญญาณของเขา
แจ็คได้ต่อรองขอแลกวิญญาณของเขากับหล้าหนึ่งจอก ซาตานยินยอมและได้แปลงร่างเป็นเหรียญ 6 เพ็นซ์ เพื่อจ่ายค่าเหล้าต่อเจ้าของโรงเตี๊ยม แจ็คฉวยโอกาสนั้น กำเหรียญไว้แน่นและนำเหรียญใส่กระเป๋าเงินซึ่งในนั้นมีไม้กางเขนอยู่ทำให้ซาตานไม่สามารถแปลงร่างคืนสู่สภาพเดิมได้ แจ็คได้ต่อรองกับซาตานขอยืดวิญญาณไปอีก 10 ปี
เมื่อครบ 10 ปีซาตานได้กลับมายังโลกอีกเพื่อมารับวิญญาณของแจ็ค แจ็คอ้อนวอนซาตานว่าตนอยากกินผลแอ็ปเปิ้ลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปสู่นรก ซาตานใจอ่อนหลงเชื่อจึงปีนไปบนต้นแอ็ปเปิ้ล เพื่อเก็บผลแอ็ปเปิ้ลให้แจ็ค แจ็คถือโอกาสวาดเครื่องหมายไม้กางเขนบนต้นแอ็ปเปิ้ล ทำให้ซาตานลงจากต้นไม้ไม่ได้ แจ็คได้ต่อรองกับซาตานอีกว่าจะปล่อยให้ซาตานเป็นอิสระหากซาตานไม่มาตามทวงวิญญาณของเขาอีก ซาตานให้สัญญาและไม่มากวนแจ็คอีก
เมื่อแจ็คตาย สวรรค์ไม่ต้องการตัวแจ็ค เพราะเขาเป็นคนไม่ดี เขาเร่ร่อนไปที่นรก นรกก็ปฏิเสธที่จะรับตัวเขาเนื่องจาก ซาตานต้องรักษาสัญญา วิญญาณของแจ็คจึงถูกส่งกลับมา เร่ร่อนพเนจรในโลกอีก เนื่องจากระยะทางจากนรกสู่โลกนั้น เหน็บหนาว มืดมน ลมแรงซาตานได้ให้ ถ่านไฟเรืองๆแก่แจ็คเพื่อส่องทางกลับมายังโลก แจ็คได้นำถ่านไฟใส่ในแคร็อท ( บางเล่มบอก หัวไชเท้า หรือ ฟักทอง ) ซึ่งคว้านเอาเนื้อออก และวิญญาณของเขาก็ลอยล่องพเนจรอยู่ในโลกไปเรื่อยๆ
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีชายคนหนึ่งชื่อว่า แจ๊ค เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนขี้เมาและเป็นยอดคนขี้โกง เขาหลอกให้ซาตานปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วก็แกะสลักรูปไม้กางเขนลงบนต้นไม้นั้น ทำให้ปีศาจตนนั้นลงมาไม่ได้ เขามีข้อตกลงกับปีศาจว่า ถ้าเจ้าปีศาจสัญญาว่าจะไม่มาหลอกเขาอีก เขาก็จะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ และจากตำนานนี้เอง หลังจากที่แจ๊คตายแล้ว เขาถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นสวรรค์ เพราะเขาได้ทำบาปเอาไว้ แต่เขาก็ถูกปฏิเสธที่จะไม่ให้ลงนรกเหมือนกันเพราะเขาสามารถโกงปีศาจได้ แต่ปีศาจก็ได้ให้ดวงไฟเขาไว้แทนเพื่อจะส่องแสงสว่างให้เขาไปตามความมืดอันหนาวเหน็บ ดวงไฟนั้นถูกวางไว้ในหัวผักกาดกลวง ๆ ซึ่งสามารถ ส่องแสงได้ยาวนานขึ้น...
.. ดังนั้น ชาวไอริชจึงได้ใช้หัวผักกาดมาทำเป็นเหมือนโคมไฟของแจ็คตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อสืบสานความเชื่อของตน เมื่อชาวไอริชที่อพยพไปยังประเทศอเมริกาได้พบว่า หัวฟักทองที่นี่มีอยู่มากและอุดมสมบูรณ์มากกว่าหัวผักกาด จึงนำฟักทองมาใช้แทนหัวผักกาดดังนั้น Jack-O-Lantern ในประเทศอเมริกาจึงเป็นหัวฟักทองใส่เทียนหรือดวงไฟไว้แทน
ถึงแม้ว่าผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิบางกลุ่มอาจรับเอาเทศกาลฮาโลวีนนี้มาไว้เป็นวันหยุดสนุกนานของพวกเขา แต่วันนี้ก็ไม่ได้มีขึ้นเพื่อปีศาจ แต่มีขึ้นเพื่อพิธีทางศาสนาของพวกเคลท์และเป็นการเฉลิมฉลองวันปีใหม่ และวันนี้ก็ยังเป็นวันที่โบสถ์หลาย ๆ แห่งจะจัดงานปาร์ตี้ฮาโลวีนกันขึ้น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ร่วมสนุกกับการแกะสลักฟักทอง และแต่งหน้าแต่งตัวให้เหมือนปีศาจบ้าง แม่มดบ้าง นอกจากนั้นเด็กๆจะสนุกสนานกับการขอลูกอม ขนมหวานตามบ้านอีกด้วย เด็กๆจะมีการเล่น Trick or Treat กันโดยจะถามผู้ที่มาเปิดประตูบ้านว่า Trick หรือTreat หากเจ้าของบ้านบอก Treat และเอาขนม ลูกอมมาให้เด็กๆก็จะจากไปแต่โดยดี แต่หากเจ้าบ้านตอบ Trick เด็กๆจะล้มถังขยะของบ้านนั้น
Celt [ออกเสียง kelt> เป็นกลุ่มชนซึ่งอาศัยอยู่ในอังกฤษ นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าชาวเคลท์เคยอยู่แถบตอนเหนือของอิตาลีเมื่อราว 400 ปีก่อนคริสตศักราช และเป็นที่รู้จักกันในนาม Barbarians หลังจากนั้นพวกเขาได้กระจายโยกย้ายถิ่นฐานไปตามที่ต่างๆเช่น อังกฤษ ไอร์แลนด์ เยอรมันตอนใต้ ฝรั่งเศส สเปญ
Samhain [ออกเสียงว่า sow-in > เทพแห่งความตาย ตามความเชื่อของของชาวเคลท์
เรียบเรียงโดย แม่พลัดถิ่น
แหล่งข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับวันฮาโลวีน ทั้งภาค อังกฤษ และเยอรมัน
htpp://kids.mweb.co.th/
htpp://www.bbc.co.uk/cumbria/features/halloween/history.shtml
htpp://www.austinlostpet.com/kidskorner/2October/InfoJack.htm
htpp://www.internetschriftsteller.de/haloween/jackolatern.html
https://www.itshaloweenagain.de/history.html
https://www.gfra.de/usfood/hween.htm
หนังสือ Das grosse Buch des Uebersinnlichen ของ Karen Farington
แหล่งข้อมูลน่าสนใจเดี่ยวกับชาวเคลท์
https://www.ucc.ie/celt/about.html
https://www.ibiblio.org/gaelic/celts.html
...................................................................................

วัน Sankt Martin นักบุญมาร์ตินในเยอรมนี
Sankt Martin
ตำนานของ Sankt Martin โดยคร่าวๆนะคะ
Sankt Martin เป็นบุตรของทหาร ได้สมัครเป็นทหารตามรอยบรรพบุรุษ และได้เห็นผู้ยากจน ต้องได้รับความทุกข์ทรมาณ ช่วงที่เป็นเขาเป็นทหารได้ช่วยเหลือ ดูแล ปรนนิบ้ตร ทหารผู้บาดเจ็บจากการสงคราม เขาเป็นชายหนุ่มจิตใจงดงามทั้งๆที่ไม่ได้เป็นชาวคริสเตียน
อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ออกเดินทาง ผ่านเข้าไปในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้ยากไร้ ระหว่างทางเขาพบชายผู้ยากจนคนหนึ่งซึ่งไม่มีแม้แต่ผ้าห่มให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายทั้งๆทีช่วงนั้นอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ
Sankt Martin ได้ตัดเสื้อคลุมกันหนาวของเขาออกเป็นสองท่อน และ แบ่งให้ชายผู้ยากไร้คนนั้นเอาไปพันกาย ห่มดับความหนาว การกระทำของเขาสร้างความขบขันแก่บางคน ที่เห็นว่า Sankt Martin มีเสื้อคลุมเพียงครึ่งท่อนปกปิดร่างกาย
บางคนเกิดความละอายใจที่ตนเองมีโอกาสช่วยได้มากกว่า Sankt Martin แต่หาได้ช่วยชายผู้ยากไร้คนนั้นไม่
ตอนกลางคืน พระเยซูได้มาปรากฏตัวต่อหน้า Sankt Martin และบอกเขาว่า
ชายผู้ยากไร้คนนั้นก็คือพระเยซู ซึ่งปลอมตัวมาลองใจ Sankt Martin
Sankt Martinได้รับศีลเข้ารีตเป็นคริตศาสนิกชน เมื่ออายุ 18 ปี คุณงามความดีของเขาเป็นที่เลื่องลือ ขจรไกล นานจนถึงทุกวันนี้
วันนี้เด็กๆในเยอรมนี จะเดินขบวนแห่โคมไฟกระดาษ ร้องเพลงรำลึกถึง Saint Martin และ เพลงอื่นๆสนุกสนาน
เด็กอื่นๆในเขตุยุโรป เช่น ฮอลแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ จะมีการฉลองวัน Sankt Martin หรือไม่นั้น คงต้องคอยให้เพื่อนๆท่านอื่นๆมาตอบค่ะ
เว็บที่น่าสนใจ สำหรับคุณแม่และเด็กๆค่ะ
https://www.martin-von-tours.de/ค้นพบเว็บภาษาอังกฤษ เลยเอามาฝากค่ะ
https://www.newadvent.org/cathen/09732b.htm เพลงที่เด็กๆชอบร้องกันในวันนี้
Ich geh mit meiner Laterne
Ich geh mit meiner Laterne und meine Laterne mit mir.
Dort oben leuchten die Sterne und unten, da leuchten wir.
Der Hahn, der kraeht, die Katz miaut.
(oder auch:Ein Lichtermeer zu Martins Ehr!)
Rabimmel, rabammel, rabum.
Ich geh mit meiner Laterne und meine Laterne mit mir.
Dort oben leuchten die Sterne und unten, da leuchten wir.
Laternenlicht, verloesch mir nicht!
Rabimmel, rabammel, rabum.
(beim Nachhausegehn )
Ich geh mit meiner Laterne und meine Laterne mit mir.
Dort oben leuchten die Sterne und unten, da leuchten wir.
Mein Licht ist aus, ich geh nach Haus.
Rabimmel, rabammel, rabum.
อีกเพลงค่ะ
St. Martin
St. Martin, St. Martin, St. Martin ritt durch Schnee und Wind,
sein Ro฿, das trug ihn fort geschwind.
St. Martin ritt mit leichtem Mut,
sein Mantel deckt ihn warm und gut.
Im Schnee, da sa฿ ein armer Mann,
hatt' Kleider nicht, hatt' Lumpen an:
"Oh helft mir doch in meiner Not, sonst ist der bitt're Frost mein Tod!"
St. Martin, St. Martin, St. Martin zieht die Zuegel an,
sein Ro฿ steht still beim braven Mann.
St. Martin mit dem Schwerte teilt
den warmen Mantel unverweilt.
St. Martin, St. Martin, St. Martin gibt den halben still,
der Bettler rasch ihm danken will.
St. Martin aber ritt in Eil
hinweg mit seinem Mantelteil
อีกแบบ
Sankt Martin legt sich still zur Ruh,
da tritt im Traum der Herr hinzu.
Der spricht: "Hab Dank, du Reitersmann,
fuer das, was du an mir getan.
เพลง Lasst uns froh und munter sein
Lasst uns froh und munter sein
und uns heut von Herzen freun!
Lustig, lustig, tral-le-ral-la-la,
heut ist Martinsabend da,
heut ist Martinsabend da!
Nehmt die Fackel in die Hand,
rasch das Kerzchen angebrannt!
Lustig, lustig, tral-le-ral-la-la,
......
Allen Kindern nun zum Spa฿
bringt auch Sankt Martinus was.
Lustig, lustig, tral-le-ral-la-la,
......
Und dann backt nach altem Brauch
uns die Mutter Kuchen auch.
Lustig, lustig, tral-le-ral-la-la,
เพลง Laterne, Laterne, Sonne,Mond und Sterne
Laterne, Laterne, Sonne, Mond und Sterne.
Brenne auf mein Licht, brenne auf mein Licht,
aber nur meine liebe Laterne nicht.
Laterne, Laterne, Sonne Mond und Sterne.
Sperrt ihn ein den Wind, sperrt ihn ein den Wind,
er soll warten bis wir zu Hause sind!
Laterne, Laterne, Sonne, Mond und Sterne.
Bleibe hell mein Licht, bleibe hell mein Licht,
denn sonst strahlt meine liebe Laterne nicht.