grandma-home.pantown.com : บ้านคุณย่า
[ลูกบ้านSignIn][เจ้าบ้านSignIn]

   ไหว้พระทางเรือกับวัดใหญ่สว่างอารมณ์

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ไปเที่ยวที่วัดใหญ่สว่างอารมณ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มา เลยได้นั่งเรือไหว้พระ ๙ +๑ วัด ตามโครงการของ อบจ.นนทบุรี ซึ่งโครงการนี้จัดบริการฟรีถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีเรือ ๓ รอบ ๑๐.๐๐ ๑๒.๐๐ และ ๑๔.๐๐ น.
เราไปถึงวัด เวลา ๐๙.๐๐ น. เขากำลังมีงานบวช ก็เดินแบบไม่รู้ทิศทาง ตรงไปที่ตลาดตรงท่าน้ำ แล้วก็ถามเขาว่าเรือท่องเที่ยว เขาก็บอกว่าให้มาลงทะเบียนที่หน้าโบสถ์ (ซึ่งเราก็เดินผ่านไปแล้ว) ก็เลยต้องเดินย้อนมาลงทะเบียน ได้ลำดับที่เกือบ ๕๐ เขาบอกว่ารับรอบละ ๑๐๐ คน ลงทะเบียนเสร็จได้สติกเกอร์ติดเสื้อพร้อมป้ายห้อยคอ เป็นสัญลักษณ์ว่าจะลงเรือ จากนั้นก็มาหาอะไรรองท้องรอเวลา ก่อนลงเรือก็ได้ซื้อหัวแก่นตะวัน มาไว้ลองปลูกเล่น เขาว่าแก้เบาหวาน ความดัน
เราไปเที่ยวแรก เรือออกประมาณเวลา ๑๐.๐๐ น. มีนักท่องเที่ยวเต็มลำ กว่า ๑๔๐ ชีวิต มีน้องผึ้งกับน้องผู้ชายอีกคน จำชื่อไม่ได้ นักเรียนโรงเรียนปากเกร็ด เป็นมัคคุเทศก์ เรือแล่นตรงไปจากทางหน้าวัด วัดแรกก็คือวัดใหญ่สว่างอารมณ์ ที่เราขึ้นเรือมานี่เอง น้องเขาบอกว่าถ้าใครยังไม่ไหว้ ก็ไหว้ตอนกลับก็ได้ วัดนี้สร้างมาแต่ พ.ศ. เดิมชื่อวัดน้อย และเปลี่ยนเป็น วัดใหญ่ยิ่งจนถึงหลังเสียกรุงได้กลายเป็นวัดร้างจนเมื่อพ.ศ. ๒๔๖๓ สมเด็จกรมพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จมาประทับและประมานเงินให้บูรณะและประทานชื่อให้ว่า “วัดใหญ่สว่างอารมณ์”
เรือแล่นมาได้เล็กน้อย น้องผึ้งก็บอกเราว่า วัดที่สองคือวัดบางจาก จะเห็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์โตอยู่หน้าวัด แต่เรือลำใหญ่จอดไม่ได้ ก็ให้ไหว้บนเรือ วัดบางจากนี้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๕ มีพระอุโบสถอายุกว่า ๒๐๐ ปี ให้ลอดเสริมศิริมงคล
จากนั้นเรือก็เข้าเทียบท่าวัดเสาธงทอง ที่เกาะเกร็ดซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม วัดนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๓ เดิมชื่อ วัดสวนหมาก มีพระประธานเก่าแก่ปางมารวิชัย มีพระเจดีย์กลีบมะเฟืองอวบซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของโลก เดินเข้าไปด้านในจะพบต้นยางอายุ ๒๐๐ ปี บริเวณต้นยางก็มีศาลกุมารทอง มีคนมากราบไหว้เยอะ
วัดไผ่ล้อม เป็นวัดที่สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลายจำหลักไม้ที่หน้าบันเป็นลายดอกไม้ที่งดงาม หลังอุโบสถมีพระมหาเจดีย์ชเวดากองจำลอง น้องมัคคุเทศก์ผู้ชายบอกว่าที่เจดีย์มี หงส์อยู่ ๕ ตัว คือ ๓ ตัวด้านล่าง และ ๒ ตัวที่ยอด แต่เราเดินดูอยู่ไกล ๆ เพราะเขากำลังซ่อมอุโบสถอยู่ วัดนี้มีจุดเด่นคือหงส์ตัวใหญ่ ๒ ตัวด้านหน้า และที่น่าสนใจคือ ห้องน้ำสะอาด อยู่ทางด้านหน้าของวัดแต่ต้องเดินไปไกลสักนิด

ออกจากวัดไผ่ล้อมก็มุ่งหน้าเดินต่อ อีก ประมาณ ๒๐๐ เมตร เพื่อไปวัดที่ ๕ ตามทางเดินก็เพลินชมของขายจนหายเหนื่อย ในช่วงนี้มีร้านขายขนมหวานมาก พอถึงวัดเราก็พบขนมถั่วกวนของโปรด ซึ่งยายเข็นรถขายออกมาจากวัด บอกได้ว่าอร่อยจริง ๆ
วัดปรมัยยิกาวาสเป็นพระอารามชั้นโท ชนิดวรวิหาร เดิมเรียกว่าวัดปากอ่าว เป็นวัดรามัญ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ปฏิสังขรณ์ใหม่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลสนองพระคุณสมเด็จพระเจ้าบรมอัยยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ผู้ทรงอภิบาลพระองค์มาแต่เยาว์วัย และพระราชทานนามวัดว่า “วัดปรมัยยิกาวาส” นอกจากนี้ทรงให้สร้างจำลองพระเจดีย์มุเตา ซึ่งองค์จริงอยู่ที่เมืองหงสาวดีราชธานีมอญ คนมอญเคารพนับถือมาก ไว้ที่วัดนี้ และทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งพระองค์ได้รับทูลเกล้าฯถวายจากผู้สำเร็จราชการอินเดีย ทรงแบ่งพระบรมธาตุนั้นเป็น 3 ส่วน อัญเชิญไปบรรจุที่วัดปรมัยยิกาวาส ที่เจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ และที่พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการที่วัดนี้ และวัดนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระนนทมุนิท์” พระประจำจังหวัดนนทบุรี

พระมหารามัญเจดีย์ ด้านหลังพระอุโบสถ (เกาะเกร็ด)
นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ของวัดเป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุ ของเก่าแก่ ที่มีค่าเอาไว้มากมาย แต่เราไม่ได้เข้าไปดู เพราะเวลา ๑.๓๐ ชั่วโมง กับ ๓ วัด เป็นอะไรที่ต้องรีบเร่ง ขนาดนั้นพอถึงเรือก็มีคนอื่นนั่งรออยู่เกือบครึ่งลำ ที่ดีของวัดนี้คือห้องน้ำมีหลายห้องและอยู่ตรงท่าเรือไม่ต้องเดินไกล
เรือแล่นต่อไปผ่านบริเวณปากอ่าวจะเห็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ดคือเจดีย์เอียง เจดีย์ริมน้ำที่วัดปรมัยฯ
รูปนี้ถ่ายตอนเรือกำลังจะอ้อมเกาะ เรืออ้อมแล้ว
ตกลงเจดีย์เอียงด้านไหน !!!!
เรือแล่นไปเรื่อย ๆ สองข้างทางเป็นบ้านริมน้ำ ฝั่งขวามือคือเกาะเกร็ด ก็มาถึงวัดที่ ๖ คือวัดฉิมพลี วัดนี้เป็นวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เดิมชื่อวัดป่าฝ้าย แต่ก็ถูกทิ้งร้าง ไปมาบูรณะใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ เปลี่ยนชื่อเป็นวัดฉิมพลีสุทธาวาสมีปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ อุโบสถ เป็นอุโบสถขนาดเล็กแต่มีความงดงามเป็นเลิศ อาจกล่าวได้ว่าเป็นโบสถ์สมัยอยุธยาที่สวยแห่งหนึ่งของประเทศไทย พระเจดีย์ เหนือโบสถ์มีพระเจดีย์องค์ใหญ่ เป็นเจดีย์มุมสิบสอง และมีเจดีย์องค์เล็ก 4 องค์ล้อมเจดีย์องค์ใหญ่ เจดีย์ทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานทักษิณสี่เหลี่ยม องค์ระฆังพระเจดีย์ประดับด้วยกระจกสีทั้งหมด ซึ่งดูแปลกกว่าเจดีย์ที่อื่นๆ และดูสวยงาม
แต่ก็อีกนั่นแหละ เรือใหญ่แวะไม่ได้ เลยได้แต่ไหว้บนเรือ ข้างวัดฉิมพลี จะเห็นวัดร้างอีกวัด คือวัดป่าเลไลยก์ ซึ่งถูกทิ้งร้างมาพร้อมกันแต่ยังไม่ได้บูรณะ

เรือแล่นมาอีกสักนิด น้องผึ้งก็บอกว่า ซ้ายมือคือวัดที่ ๗ ชื่อว่าวัดกลางเกร็ด ตั้งอยู่บนแม่น้ำลัดเกร็ด ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ มีพระอุโบสถขนาดเล็กที่เก่าแก่ พระประธานปางมารวิชัย มีพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ยาว ๑๑ วา (๒๒ เมตร) อายุกว่า ๑๐๐ ปี แต่ก็เหมือนเดิม ไม่ได้แวะ ไหว้บนเรือ

ช่วงนี้เรือแล่นมาถึงบริเวณที่แม่น้ำลัดเกร็ดมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเป็นวังวน มองไปเห็นวัดเชิงเลน ซึ่งเป็นวัดที่ ๘ วัดนี้สร้างสมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถูกทิ้งร้างจน พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้รับการพัฒนา และได้รับวิสุงคามสีมาเมื่อ ๑ เมษายนพ.ศ.๒๔๕๐ โดยหน้าวัดมีพระพุทธรูปทรงบาตรประดิษฐานบริเวณจุดตัดของแม่น้ำ พระพุทธรูปนี้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ทรงเป็นประธานในการหล่อ

พอเรือจอดเทียบท่าต่างคนก็ต่างรีบขึ้น มีหลวงพี่ที่วัดแซวว่า ทัวร์คณะนี้วัยรุ่นทั้งนั้นเลยนะ (รุ่นเดอะ) ที่วัดนี้มีลูกนิมิต ๙ ลูกให้ปิดทอง พอดีเป็นช่วงของการทอดผ้าป่าการศึกษา เพราะวันจันทร์จะมีพระมาเรียนปริยัติ เราก็เลยได้โอกาสทำบุญ ปิดทองเสร็จ ก็เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ แล้วก็เดินขิ้นไปที่พระพุทธรูปอุ้มบาตร บริเวณด้านหน้ามีองค์เล็กประดิษฐานอยู่ ทางขึ้นเป็นบันไดชันพอควรสำหรับ พวก สว. แต่ที่พยายามขึ้นไปก็เพราะจะไปโยนเหรียญเสี่ยงทาย เขาเล่าว่าใครอธิษฐานแล้วโยนเหรียญลงบาตรได้ ถือว่าคำอธิษฐานจะสำเร็จ แต่บาตรที่ว่านั้นนะ ไม่ใช่บาตรสีเงินที่อุ้มอยู่นะ เพราะสูงมากไม่สามารถหรอก แต่เขามีบาตรปูนใบใหญ่ตั้งอยู่ที่ฐานพระไว้ให้โยน เราไม่ได้โยนหรอก แค่ตะกายขึ้นไปดูเท่านั้นเอง จากนั้น ก็ไปเติมพลังโดยการกินข้าววัดจานละ ๑๐ บาท เรากินแกงเขียวหวานรวมมิตร ที่ว่ารวมมิตรก็เพราะมีทั้งลูกชิ้นปลา ทั้งไก่ แต่ก็รสชาติดี แถมน้ำเย็นที่วัดก็เย็นชื่นใจ จากนั้นก็ไปไหว้พระรูปของกรมหลวงชุมพรฯ และท้าวพญานาค ซึ่งก็อยู่บริเวณหน้าวัด

เรือออกจากวัดเชิงเลน ก็แล่นต่อไป ช่วงนี้ด้านซ้ายเป็นชุมชนมุสลิม แล่นมาไม่ไกลก็ถึงวัดที่ ๙ คือวัดท่าอิฐ
สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๖ เป็นแหล่งของชาวมอญปั้นอิฐ และเป็นท่าลงเรือไปสร้างกรุงธนบุรี และกรุงเทพ ในสมัยพระเจ้าตากสินและรัชกาลที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้พระยาพลเทพ(บุญนาค) นำชาวมุสลิมมาอาศัยอยู่เป็นชุมชนใหญ่ ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปปางประทานพรทรงพม่าอยู่ในมณฑปริมแม่น้ำ เราขึ้นไปไหว้พระ แล้วก็รับน้ำมนต์จากหลวงพ่อ จากนั้นก็ไปให้อาหารวัวควายที่อยู่ด้านหลังมณฑป มีหลายตัว มีควายเผือกแม่ลูกอ่อนด้วย

แม่ชีบอกว่ามีโบสถ์อยู่ด้านหลังแต่ไม่มีเวลาเพราะเรือให้เวลาไม่มาก ก่อนลงเรือ กินโอเลี้ยงฟรีที่วัดจัดเลี้ยงอร่อยมาก ก็เลยอุดหนุนลูกตาล กระท้อน สละ ลอยแก้วถุงละ ๑๐ บาท ที่วัดนี้มีเรื่องแปลกอีกอย่างคือ ที่ผ่านมาทุกวัด อาหารปลาก็จะเป็นขนมปัง กับอาหารเม็ด แต่ที่วัดนี้ ปลากิน สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ไฮโซจริง ๆ เพราะโรงงานเถ้าแก่น้อยอยู่แถว ๆ นั้น ไม่รู้ว่าเวลาให้อาหารปลามีใครแย่งปลากินหรือเปล่า ก่อนออกจากวัดเลยตีระฆังสักหน่อย เพื่อให้เทวดาได้ยินบ้าง มาถึงทางลงเรือเจอขนมจีบชาวบ้านห่อเหมือนเกี๊ยว ๗ ลูก ๒๐ บาทก็อุดหนุนอีก น้ำจิ้มหวานอร่อยดี
เรือแล่นต่อมาระหว่างทางช่วงนี้เป็นชุมชนมุสลิม จะเห็นสุเหร่าท่าอิฐ ตั้งเด่นเป็นสง่า มีหอคอยสูงติดลำโพงโดยรอบ ไว้ส่งสัญญาณเวลาทำละหมาด แล้วเรือก็แล่นมาถึงวัดสุดท้าย วัดที่ ๑๐ วัดแสงสิริธรรม
เดิมมีชื่อว่า "วัดขวิด" สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2327 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.2334 สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ภายในวัดมีอุโบสถกว้าง 8 เมตร ยาว 24 เมตร บูรณะเมื่อปี พ.ศ.2392 มีลักษณะทรงไทยโบราณเครื่องบนไม้สักหลังคามุงกระเบื้องดินเผา มีโบราณวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ หลวงพ่อโต สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2392 โดยใช้ปูนซีเมนต์ก่ออิฐลงรักปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 เมตรเศษ และหลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ องค์พระหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 48 ซม. เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย วัดนี้มีตลาดน้ำอยู่บนแพหน้าวัดขายของกินของจากสวน เราเดินผ่านเข้าวัดไปไหว้พระก่อน ก่อนถึงโบสถ์ทำบุญโลงศพสะเดาะเคราะห์ ที่น่าสนใจคือมีการทำหุ่นผี ยกมือไหว้ขอบคุณ เรียกความสนใจได้อย่างดี อีกอย่างหนึ่งที่แปลกกว่าที่อื่นคือ พอเราถอดรองเท้าจะเข้าโบสถ์ จะมีเด็กน้อยมาคอยเรียงรองเท้าให้ ก็น่ารักดี ผู้ใหญ่ใจดีหลายคนก็ให้ค่าขนม ออกจากโบสถ์พบกระท้อนห่อ โลละ ๕๐ บาท ก็เลยอุดหนุนมาหลายโล แล้วก็เดินต่อไปตามทางเดินมีร้านขายผลไม้ แล้วก็มีป้ายบอกทางไปก๋วยเตี๋ยวเรืออีก ๗๐ เมตร แต่ไม่ได้เดินไปหรอก เดินกลับมาให้อาหารปลาหน้าวัด แล้วก็เดินดูตลาดน้ำ มีผักสวนสวย ๆ น่ากิน แล้วก็หมี่กรอบสูตรโบราณ ทำเป็นก้อน ๆ กินร้อน ๆ ก็อร่อยดี แต่ไม่รู้ว่าพอเย็นจะแข็งหรือเปล่าเพราะไม่ได้ซื้อมา ก่อนลงเรือเจ้าหน้าที่ขอเก็บบัตรที่ห้อยคอ เป็นสัญญาณว่า ทัวร์ครั้งนี้สิ้นสุดแล้ว
เรือออกจากท่าวัด แล่นมาเรื่อย ๆ เพื่อกลับวัดใหญ่ฯ น้องผู้ชายมาสรุปแต่ละวัดให้ฟังอีก แต่เสียดายจำไม่ค่อยได้ เรือเข้าเทียบท่าวัดใหญ่ฯ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. สรุปว่า เราเดินทางไหว้พระ ใช้เวลา ๔ ชั่วโมง นี่ขนาดไหว้บนเรือ ตั้ง ๓ วัด นะ ขึ้นเรือมาแล้วก็เดินมา ไหว้พระที่วัดใหญ่อีกครั้ง ที่ไม่ได้ไหว้ตอนแรกเพราะเขามีงานบวชอยู่ ตอนนี้เลยสังเกตว่า หุ่นผีสะเดาะเคราะห์ที่วัดนี้ก็มี เพียงแต่ไม่ได้เปิดระบบ เท่านั้น ก็เลยไม่เห็น ไหว้พระเสร็จก็ครบการทำบุญ จากนั้นก็นั่งพักแล้วก็เดินตลาดที่วัดต่อ

ตลาดน้ำที่วัดใหญ่สว่างอารมณ์มีของขายหลายอย่าง วันที่ไปมีงานทุเรียนเมืองนนฯ เลยได้เห็นทุเรียนลูกสวย ๆ ที่เจ้าของบอกว่าจะนำไปถวายสมเด็จพระเทพฯ แต่ราคาทุเรียนนนฯก็สูงนะถ้าเทียบกับทุเรียนระยอง เพราะ ๓ พลูเล็ก ๆ ราคา ๒๐๐ บาท ก็เลยได้แต่ดู ปีนี้มังคุดยังไม่ออกมาก เลยมีอยู่สวนเดียว ของขายอื่น ๆ ก็เน้นที่ของกิน มีสินค้า OTOP ของจังหวัดด้วย เราชอบทองม้วนนมแพะ กรอบนุ่มหวานอร่อยดี ปีบเล็ก(จิ๋ว) ราคา ๙๐ บาท ตอนเช้าก่อนลงเรือกินข้าวหมูกรอบ พี่สาวบอกว่าใช้ได้ แต่ห่อหมก ไม่อร่อย เครื่องแกงน้อยไปรสไม่กลมกล่อม เรากินก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านเย็นโตโฟทรงเครื่อง มีไข่ต้มใส่ด้วย รสชาติก็ใช้ได้ แต่ใส่เครื่องน้อยไปนิด กับราคา ๓๐ บาท น่าแปลกก็คือราคาน้ำดื่มแต่ละร้านไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะขายขวดละ๑๐ บาท แต่มีร้านหนึ่ง ติดป้ายชัดเจน ว่า ขวดละ ๘ บาท ที่จริงน่าจะดูแลเรื่องราคาอาหารด้วยนะ เพราะขายที่วัดไม่น่าเอากำไรมากนัก พอนั่งหายเหนื่อยแล้วก็หาของกินต่อ มีหอยทอดซึ่งรสชาดดี แต่น้ำจิ้มรสแปลกสักหน่อย เลยกินแบบเปล่า ๆ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อโกบึ้งก็อร่อยแถมราคา ๒๕ บาทเอง ปิดท้ายด้วยไอติมกะทิ อร่อยสู้ที่วัดเสาธงทองไม่ได้ แต่ก็พอกินได้ และเราก็ยังซื้อหมูยออุบลที่ร้านเขาอีกด้วย ร้านอื่น ๆ ไม่ได้ชิม แต่ก็ต้องบอกว่ามีของกินหลายเจ้า มีสินค้า OTOP เรายังซื้อน้ำมันหม่อง สินค้าจากวัดหงส์ทอง มาเลยพร้อมยาสมุนไพร และผงขมิ้น ต้นไม้ก็มี เครื่องทำสวนก็มี ปลาเค็ม ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูฝอย ของกินเยอะแยะ เดินออกมาด้านนอกที่เราจอดรถไว้ ก็มีเครื่องเรือนไม้ และเราก็ได้มะนาวลูกละ ๑ บาท จากร้านนี้มาอีก ปากทางมีไก่แช่น้ำปลา มีเฉาก๊วย มากมาย
ก็ต้องขอบคุณ อบจ.นนทบุรี ที่ทำให้เรามีโอกาสท่องเที่ยวอย่างนี้ เงินที่ไม่ต้องเสียค่าเรือเราก็เอาไปทำบุญในแต่ละวัด ซื้อของอุดหนุนชาวบ้าน ก็เรียกว่ากระจายรายได้กันไป น้อง ๆ ที่มาช่วยบนเรือก็น่ารักโดยเฉพาะน้องผู้ชายที่คอยช่วยตอนขึ้นลงเรือ มีน้ำใจดี สังเกตว่าเป็นการทำด้วยใจ ก็ขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนในโครงการ และขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาอ่านคะ
(ข้อมูลประวัติต่าง ๆ นำมาจากแผ่นพับโฆษณาโครงการที่แจก
รูปถ่ายเองคะ)

Pantown.com ใช้คุกกี้ (cookies) หรือไฟล์ข้อมูลขนาดเล็กเพื่อจดจำการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา จดจำความชอบและความสนใจเพื่อการแสดงผลให้สอดคล้องกับความชอบและความสนใจของผู้เข้าใช้งาน เพื่อเร่งความเร็วในการแสดงผลของข้อมูล เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอโฆษณา รวมถึงเพื่อความสะดวกในการให้บริการต่างๆในเว็บไซต์ของเรา โดยคุกกี้นี้จะถูกดาวน์โหลดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของผู้เข้าใช้งานเพื่อระบุอุปกรณ์การใช้งานของผู้เข้าใช้ แต่จะไม่ระบุตัวบุคคลผู้เข้าใช้งาน ทั้งนี้การวิเคราะห์อาจทำโดยบุคคลอื่นที่ให้บริการหรือได้ รับมอบหมายให้กระทำการแทนในนามของ Pantown.com เช่น Google Analytics เป็นต้น