สวนป่า ศิลาเปลือย
ในสเปน ใกล้ๆ กับเมืองบาร์เซโลนา มีสวนหินแห่งหนึ่ง ที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางว่า เป็นสวนหินแนวอีโรติก (สังวาส)และแอปสแตรค (เหนือจริง) ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
สวนหินแกะสลักหรือป่าหินแกะสลักอันน่าทึ่งแห่งนี้ ชื่อว่า แคน กิเนเบรดา ตั้งอยู่ทางเหนือของเขตจีโรนา ในแคว้นแคทาโลเนีย ประเทศสเปน เจ้าของซึ่งเป็นศิลปินผู้สร้างผลงานเป็นชาวคาตาลัน ชื่อ ซิคู คาบันเยส เขาตั้งชื่อสวนประติมากรรมศิลาแกะสลักแห่งนี้ตามชื่อในภาษาคาตาลันว่า "กิเนเบรอร์" ของสนจูนิเปอร์ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นที่นี่
ในแต่ละสัปดาห์ สวนสาธารณะส่วนตัวแห่งนี้จะมีผู้แวะไปชมไม่ต่ำกว่า 100 ราย ซึ่งในช่วงเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ศิลปินผู้นี้ได้ผลิตผลงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันมีไม่น้อยกว่า 100 ชิ้น แต่ละชิ้นไม่ซ้ำแบบกัน
คาบันเยสมักจะทำงานอยู่ในสวนหินของเขาอย่างมีความสุขทุกวัน โดยมีดนตรีแนวบาร็อคคลอไปด้วยตลอดเวลา พร้อมกับฝูงสุนัขใจดีที่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ส่วนผู้มาเยือนสามารถเดินชมผลงานที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ที่จัดวางไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างอิสระ คุณไปชมได้มากเท่าที่ต้องการ จะไปดูตรงไหนก็ได้ตามที่ใจปรารถนา เราจะปิดเมื่อพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น
มุมมองของคาบันเยส เขาต้องการให้ผลงานศิลปะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างกลมกลืน หินแกะสลักหลายชิ้นที่มีอายุเก่าแก่ มีมอสหรือตะไคร่ขึ้นเต็มไปหมด เช่น ใกล้ทางเข้าสวนหินฯ มีหินแกะทำเป็นรูปอ่างน้ำมีคอนให้นกเกาะ เป็นรูปอวัยวะเพศชาย มีแต่โคลนและน้ำฝนขังอยู่ เหมือนอ่างน้ำมนต์ของพวกนอกศาสนา
อีกชิ้นเป็นรูปศีรษะนางเมดูซาผู้ที่มีผมเป็นงู ซึ่งมีตำนานว่าถ้านางประสานสายตากับใครแล้วใครคนนั้นจะกลายเป็นหินไปตลอดกาล ชิ้นนี้แกะขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 หรือเมื่อ 28 ปีก่อน ซึ่งตอนนี้จุดที่ตั้งกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ที่เหลือแต่ใบหน้านางเมดูซาโผล่ขึ้นมาปริ่มๆ น้ำเท่านั้นเอง บางชิ้นก็ใช้วัสดุผสมผสานระหว่างปูนกับหินแกะ ออกแบบให้สามารถเก็บกักน้ำได้บ้างและปล่อยให้น้ำไหลผ่านได้หลายๆ ทาง
คาบันเยส เกิดเมื่อปี 1945 ที่เมืองซีรินยา เมื่ออายุ 16 ปี ขณะทำงานอยู่ในโรงงานของช่างไม้ เขาพบว่าตัวเองสนใจโลกของการแกะสลักเป็นครั้งแรก และต่อมาเขาก็เริ่มหันไปทดลองการทำดินเผารูปทรงต่างๆ และโลหะ ในทศวรรษ 1970 เขามีบทบาทสำคัญในการรวบรวมผลงานทางศิลปะ 2 แขนงในเขตบันโยเลสของสเปน รวมไปถึงการจัดการประชุมและเปิดแสดงนิทรรศการในเรื่องเกี่ยวกับท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านนายพลฟรังโก (ผู้นำของสเปนในช่วง 1892-1975) ต่อมาเขาจึงเริ่มตระเวนไปแสดงผลงานทั้งในประเทศสเปนและทั่วยุโรป
แม้ว่าผลงานของเขาส่วนใหญ่ที่จัดแสดงอยู่ในป่าจะเป็นแนวสังวาส หลายชิ้นจะให้ความรู้สึกหดหู่ก็มี เช่น ผลงานชุด เชอร์โนบิล เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างจากลูกระเบิดขนาดยักษ์ที่ว่างเปล่า ที่พื้นมีแต่ก้อนกรวดจากทะเลทิ้งเกลื่อน บางชิ้นแกะสลักเป็นหัวกะโหลก บางชิ้นราบเรียบไม่มีหน้าตา หลายชิ้นเกี่ยวเนื่องกับความตาย ซึ่งเป็นความรู้สึกของศิลปินที่เห็นว่ามันเชื่อมโยงกับการสังวาสอย่างมาก
สวนหินแห่งนี้เก็บค่าเข้าชมเพียงแค่ 3 ยูโร (ประมาณ 150 บาท) เท่านั้น ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.canginebreda.com (เป็นภาษาคาตาลัน)
********************************************
สุขใจในเกาะปีนัง
การเดินทางหมื่นลี้ต้องเริ่มต้นที่ก้าวแรก ปราชญ์ชาวจีนคนหนึ่งเคยกล่าวไว้
และ ปีนัง น่าจะเป็นก้าวแรกที่เหมาะมากๆ ของใครหลายคนที่ต้องการเริ่มต้นท่องโลกในต่างแดน เพราะปีนังเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของประเทศไทยนี่เอง ตอนเด็กๆ จำได้ว่า เคยสงสัยรถไฟสายกรุงเทพฯบัตเตอร์เวอร์ธ มันจะไปไหนหนอ ชื่อมันทะแม่งๆ แฮะ ตอนหลังเพิ่งมารู้ว่ารถไฟไทยฉึกๆ ฉักๆ ไปเกาะปีนัง แดนเสือเหลืองได้ด้วย
ออกจากหัวลำโพงบ่ายสาม วิ่งหวานเย็นถึงปลายทางบัตเตอร์เวอร์ธอีกวันประมาณ 11 โมง แล้วนั่งเรือเฟอร์รีเข้าสู่เกาะปีนังอีกที นั่นเป็นการเดินทางในยุคก่อน แต่นักเดินทางที่ชอบของเดิมๆ คลาสสิก เวลาเหลือเฟือ แนะนำรถไฟก็ยังได้อยู่ หรือเลือกบินกับโลว์คอส แอร์ไลน์ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าก็เข้าที ราคาสูสีเท่ากับบินไปภูเก็ต
เกาะหมาก ชื่อนี้อาจไม่คุ้น แต่จริงๆ แล้วเป็นชื่อเดิมของปีนัง และมีอีกเรื่องที่เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ แต่เดิมปีนังนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสยาม (จริงดิ??) เกาะหมากเดิมนั้นขึ้นอยู่กับไทรบุรีหรือรัฐเกดะห์ของมาเลเซียในปัจจุบัน ในยุคล่าอาณานิคมนั้น พระยาไทรบุรี ผู้ครองนครคิดการใหญ่ หาทางแยกตัวจากสยาม พอสบโอกาสเหมาะจึงไปซบอกอังกฤษเพื่อหวังให้อังกฤษ คุ้มครอง และยกเกาะหมากให้อังกฤษเช่าเป็นสถานีการค้า ต่อมาสยามต้องเสีย ไทรบุรี รวมทั้งปะลิส กลันตัน และตรังกานูให้แก่อังกฤษ เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบังคับอังกฤษในประเทศไทย และขอกู้เงินจากอังกฤษโดยคิดดอกเบี้ยราคาถูกเพื่อนำมาสร้างทางรถไฟสายใต้
ปี 2329 บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเข้ามาตั้งอาณานิคมปักธง ถือเป็นจุดเริ่มต้นปีนังยุคใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อให้ไฉไลว่า เกาะปรินซ์ ออฟ เวลส์ และเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราช จึงผนวกรวมเป็น รัฐหนึ่ง และเปลี่ยนชื่อเป็น ปีนัง จากการที่อังกฤษเข้ามาตั้งเป็นเมืองท่าค้าขาย ทำให้ปีนังเนื้อหอม มีผู้คนหลั่งไหลฝากกายใจตั้งรกรากไว้บนพื้นแผ่นดินนี้ โดยเฉพาะชาวจีนที่โล้สำเภามาจากเมืองฟูเจี้ยน ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของปีนังเป็นชาวจีน ซึ่งต่างจากรัฐอื่นของมาเลเซียที่มีชาวมาเลย์มากกว่า ส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้คุมเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด ส่วนชาวมาเลย์จะรับราชการและอื่นๆ ตามนโยบาย ภูมิบุตรา หรือลูกหลานแห่งแผ่นดิน ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมฉบับมาเลเซีย ที่ให้สิทธิพิเศษแก่คนมาเลย์ตั้งแต่เกิด เพื่อให้มีโอกาสได้แข่งขันกับคนจีนในสังคมเดียวกัน
ดร.มหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ภูมิบุตราที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ชาว มาเลย์นั้นไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ ชาวมาเลย์ยืนอยู่บนขาของตัวเองไม่ได้ ดร.มหาเธร์ เปรียบเปรยว่า ชาวมาเลย์นั้นชอบเดินด้วยไม้เท้า ไม่นานก็จะเป็นอัมพาต แต่ชาวมาเลย์ชอบใช้ไม้เท้าเพราะมันง่าย กว่าการยืนอยู่บนขาของตัวเอง ดังนั้น ประชานิยมใช่ว่าจะดีเสมอไป แม้บ้านเราก็เถอะ สร้างกันไว้เยอะๆ คนไทยจะอ่อนแอ เพราะได้อะไรมาง่ายเกินไป (อ้าว! ไปการ เมืองได้ไง กลับมาๆ นี่มันคอลัมน์ท่องเที่ยว)
การเข้ามาของอังกฤษและจีนนั้น ทำให้ปีนังมีวัฒนธรรมที่หลากหลายผสมกันโดดเด่น ที่เห็นง่ายๆ คือ ตึกสไตล์ชิโน- โปรตุกีส อายุร้อยกว่าปีในย่านจอร์จทาวน์ บอกได้เลยว่าสวย คลาสสิก สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษได้เป็นอย่างดี คนชอบสถาปัตยกรรมรับรองหลงรัก หัวปักหัวปำ ขนาดยูเนสโกยังยกจอร์จทาวน์ให้เป็นเมืองมรดกโลกพร้อมๆ กันกับ มะละกาเลยทีเดียว
การชมตึกสวยของเมืองจอร์จทาวน์ให้ได้อารมณ์วันวานยังหวานอยู่ แนะนำให้นั่งสามล้อถีบพื้นเมืองแบบชิล ชิล ยามแดดร่มลมตก เวิร์กกลมกล่อมสุดๆ ใครที่ยังชอบสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมอยู่ แนะนำไฮไลต์ของปีนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ปีนัง ปารานากัน แมนชัน (Pinang Paranakan Mansion) เป็นบ้านคหบดีชาวจีนชื่อ Chung Keng Kwee ที่มาตั้งรกรากที่ปีนัง บ้านของมหาเศรษฐีท่านนี้หากมองจากด้านหน้า หลายคนอาจปรามาสดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เข้าไปข้างในบอกได้คำเดียว งามจับจิตบรรจงสร้าง ควรอยู่คู่ปีนังตลอดไป บ้านหลังนี้สร้างในสไตล์ปารานากัน ปารานากันคือชุมชนชาวจีน ที่มาอาศัยในแผ่นดินมาเลเซีย และพัฒนาวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่โดยผสมผสานวัฒนธรรมจีนและมาเลย์เข้าด้วยกัน ปีนัง ปารานากัน แมนชัน สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งของชาวจีน ฝีมือการสร้างของช่างเรียกว่าขั้นเทพ ผังของบ้านถูกแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน แยกเรือนเจ้านาย ลูกน้อง ครัว ศาลเจ้า ออกจากกัน กลางบ้านจะเป็นลานกลางแจ้ง ห้องรับแขกมีหลายห้อง ทั้งห้องสไตล์จีนใช้รับรองแขกฝรั่ง ห้องสไตล์ฝรั่งรับแขกจีน
การจัดแสดงของปีนัง ปารานากัน แมนชัน นั้นทำได้ดี แสดงถึงวิถีชีวิตของ บาบาและโนนยา (ชายและหญิงชาวปารานากัน) ได้แจ่มชัด กลิ่นของความรุ่งโรจน์ในวันวานยังฟุ้งอยู่ทุกอณู เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ ล้วนบ่งบอกความล้ำค่าและคลาสที่เข้าขั้นของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่ลูกหลาน Chung Keng Kwee ไม่สามารถรักษา ไว้ได้ เลยต้องขายให้เศรษฐีปีนังรุ่นใหม่ที่นำมาเปิดเป็นมิวเซียมให้เราได้เข้าชม
อีกที่ที่ไม่น่าพลาดคือ ศาลเจ้าตระกูลคู หรือ Khoo Kongsi อยู่ใกล้ๆ กับลิตเติล อินเดีย ในจอร์จทาวน์ ทางเข้าค่อนข้างแคบๆ ชวนพิศวง ศาลเจ้าตระกูลคูได้ซ่อนกายใหญ่ยักษ์อย่างเงียบเชียบ สร้างความประหลาดใจว่าเราหลงมาเมืองจีนหรือไร ไฉนจึงมีศาลเจ้าไซส์ XXL ที่ถอดแบบจากแดนมังกรมาเด๊ะๆ มาอยู่ที่นี่ ศาลเจ้าตระกูลคูมีความโดดเด่นในงานสถาปัตยกรรมที่ลงรายละเอียดและอ่อนช้อย บานประตูหน้าต่างแกะได้วิจิตรจับใจ ภายในศาลเจ้ามีป้ายชื่อลูกหลานตระกูลคู เท่าที่สังเกต ลูกหลานบ้านนี้ค่อนข้างเอาถ่าน แต่ละคนมีดีกรีพ่วงท้ายไม่ธรรมดา ฝั่งตรงข้ามดูเหมือนโรงงิ้วเก่า วันวานของศาลเจ้านี้คงคึกคัก มีอุปรากรจีนมาร่ายรำให้ดูกัน โดยรวมแล้วศาลเจ้าตระกูลคูยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์น่าเที่ยวชม
นอกจากรอยมรดกทางวัฒนธรรมของปีนังแล้ว ยังมีสถานที่สวยๆ ทางธรรมชาติที่น่าไปคือ ปีนัง ฮิลล์ แต่เดิมเป็นสถานที่ตากอากาศของชาวอังกฤษในยุคอาณานิคมบนเขาปีนัง การขึ้นไปปีนัง ฮิลล์ ต้องนั่ง รถรางขึ้นไปอีก 20 นาที ไต่จากตีนเขาไปสู่ยอด ใครไม่ชอบอากาศร้อนๆ ขึ้นมาบนปีนัง ฮิลล์ จะเย็นสบายสุดๆ ลมฉิวอากาศสดชื่นมาก แถมได้วิวปีนังสวยๆ ทั้งเมือง เหมาะเป็น background ในการถ่ายรูปงามๆ
เดินไปตามทาง ลัดเลาะไปเรื่อยๆ จะเจอมัสยิดและเทวสถานฮินดู แต่เอ ??? สองศาสนสถานมาโผล่ที่นี่ได้เยี่ยงไร เป็นเพราะว่าในอดีตการสร้างทางรถรางต้องใช้ชาวอินเดียและมาเลย์บุกเบิกไงล่ะ จึงสร้างศาสนสถานให้เขาเอาไว้บูชา วิวตรงเทวสถานฮินดูนั้นน่ายืนทอด (สมอ) อารมณ์ยิ่งนัก เพราะสามารถมองเห็นทะเล และได้สัมผัสไอหมอกที่ลอยต่ำๆ รอบๆ ตัว ดูโรแมนติกไม่หยอก ปีนัง ฮิลล์ ดูแล้วน่าจะเป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจที่ขึ้นชื่อของชาวปีนัง เห็นจูงลูกจูงหลานกันมาเยอะทีเดียว
ใครชอบเที่ยวธรรมชาติ แนะนำอีกที่คือ สวนพฤกษศาสตร์ปีนัง แต่ว่าต้องตื่นเช้า เน้นว่าเช้ามาก สายมากคนเยอะ แย่งพื้นที่หายใจ ชาวปีนังมาออกกำลังกายที่สวนนี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง คนวิ่งจ๊อกกิงต้องระวังกัน เพราะมันมืดตื๊ดตื๋อ มองไม่เห็นหน้ากันจริงๆ แต่สิ่งที่เจ๋งมากคือ อากาศบริสุทธิ์สุดๆ เมื่อฟ้าสางจึงเข้าใจว่าเราออกกำลังท่ามกลางภูเขานี่เอง อารมณ์คล้ายวิ่งๆ เดินๆ บนเขาใหญ่ยังไงยังงั้น สายหน่อยแนะนำไปต่อกันที่ สวนผีเสื้อปีนัง เป็นสวนผีเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มี ผีเสื้อสวยๆ หน้าตาน่าหลงใหลจำนวนมาก และแมลงแปลกๆ เรียกเสียงรัว ชัตเตอร์จากนักท่องเที่ยวแบบปืนกลเลยทีเดียว ผีเสื้อนั้นเยอะมากจริงๆ ดูเชื่อง ไม่มีเหนียม บินมาเกาะราวกับรู้ตัวว่าถึงเวลาโชว์ไทม์ทำมาหากิน
ปีนังเป็นเกาะก็จริง แต่ทะเลนั้นฟ้า ไม่คราม น้ำไม่ใส ยืนอยูริมหาดของปีนังพานนึกว่ายืนอยู่บางปู หาดเป็นดินเลนเล่นน้ำไม่ได้ คนรักทะเลมีเคืองแน่ๆ ถึงทะเลสีไม่ครามและไม่มีนงรามริมหาดให้ดู แนะให้เดินเรื่อยเปื่อยไปตามชายหาดแถบ Gurney Dive จะมีโต้รุ่งเรียกว่า Penang Hawker Food น่าสนใจไม่น้อย คนชอบอาหารน่าจะตื่นตาตื่นใจ เพราะมีอาหารหลายชาติพันธุ์มาประชันยั่วน้ำลาย ทั้ง มาเลย์ อินเดีย จีน ซีฟู้ด น่าสนใจที่ครัวหลายสายพันธุ์มารวมตัวกันนี่แหละ
บริเวณหาดแถบ Gurney Dive ยังมีบ๊ะกุ๊ดเต๋ตุ๋นสมุนไพรจีนเจ้าเด็ดหลายร้าน เสิร์ฟร้อนๆ เป็นหม้อบิ๊กๆ นั่งกินไปแทะกระดูกหมูตุ๋นไป พร้อมรับลมทะเลเย็นๆ โอ้ววว.... สุขยิ่งนัก
รัฐเล็กๆ อย่างปีนังนั้นน่าเที่ยว สมกับกับสมญานาม ไข่มุกตะวันออก ที่ใครๆ ก็อยากมาที่นี่ ไม่ว่า ฝรั่ง จีน แขก
รู้ไหมว่าปีนังและจอร์จทาวน์เนี่ยติดอันดับ 10 เมืองน่าอยู่ในเอเชียที่คนยุโรปอยากมาอาศัย ซึ่งค่อนข้างเห็นด้วยอย่างแฮง เพราะปีนังมีความคลาสสิก ความสวย ผ่านการบ่มเพาะจากกาลเวลา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่หลากหลาย หลอมรวมเข้าด้วยกัน จนเป็นรัฐที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ไปเที่ยวปีนังกันมั้ย แล้วจะสุขใจในต่างแดน
สิบตึกที่สูงที่สุดในโลก
อันดับ 10. ทู อินเตอร์เนชัลนัล ไฟแนนซ์ เซ็นเตอร์ ที่ประเทศฮ่องกง สูง 421 เมตร จำนวน 88 ชั้น
อันดับ 9. จินเหมา ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ สูง 415 เมตร จำนวน 88 ชั้น
อันดับ 8. กวางเจา เวสต์ ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ที่กวางเจา สูง 438 เมตร จำนวน 103 ชั้น
อันดับ 7.เซียร์ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ที่นครชิคาโก สูง 442 เมตร จำนวน 108 ชั้น
อันดับ 6. นานกิง กรีนแลนด์ ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์ ที่นานกิง 450 เมตร จำนวน 66 ชั้น
อันดับ 5. เปโตรนาส ตึก 2 ตั้งอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ สูง 452 เมตร จำนวน 88 ชั้น
อันดับ 4. เปโตรนาส ตึก 1 ตั้งอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ สูง 452 เมตร จำนวน 88 ชั้น
อันดับ 3. เซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ สูง 492 เมตร จำนวน 101 ชั้น
อันดับ 2. ไทเป 101 ตั้งอยู่ที่ กรุงไทเป สูง 509 ชั้น จำนวน 101 ชั้น
อันดับ 1.เบิร์จ ดูไบ ตั้งอยู่ที่กรุงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สูง 818 เมตร จำนวน 162 ชั้น
ส่วนในประเทศไทย ตึกที่สูงที่สุดคือ ตึกใบหยก 2 ที่มีความสูง 304 เมตร จำนวน 85 ชั้น