"ชีวิตที่มีค่าในโลกที่สวยงาม"

19 มิถุนายน 2550
* เรื่องสั้น บ้าบอคอแตก+จรรโลงใจให้ข้อคิดนิดๆ จากมือใหม่หัดเขียน*
1. เรื่องของจิ้งจกตัวน้อยๆ
----------------------------
ค่ำลงแล้ว.. หลังจากที่จิ้งจกตัวหนึ่ง ได้ไต่กระดื๊บๆ ขึ้นไปดูดาวบนฟากของหลังคาบ้าน.. เจ้าจิ้งจกขี้สงสัยตัวนี้ ได้รำพึงกับตัวเองเบาๆ ถึงความเงียบงันในดวงดาวเหล่านั้นที่ทอแสงระยิบระยับสวยงาม
เออ..หนอ เรานี้เกิดมาเป็นแค่สัตว์เดรัจฉาน หน้าตาหรือก็น่าเกลียดในสายตาของมนุษย์ ..แต่ก็หล่อในสายตาเราละกัน ..คนขนานนามให้ว่า ไอ้จิ้งจก แต่เราก็มีโอกาสได้ชมแสงจันทร์และยลโฉมดวงดาวอันงดงามบนท้องฟ้าในค่ำคืนเดียวกันกับพวกมนุษย์...ไม่เคยเสียใจเลยที่เกิดมาเป็นจิ้งจก.. แต่เมื่อวาน เจ้าจิ้งจก ได้พบมนุษย์บางคนนั่งอยู่ในความมืดของมุมบ้าน เขาทำหน้าเศร้าและบ่นพึมพำกับตัวเองว่า เกิดมาบนโลกใบนี้ช่างทุกข์นัก.. มีความเลวร้ายเข้ามาในชีวิตตลอด มนุษย์อันประเสริฐผู้นั้นคอตก น้ำตาไหล.. เขามิได้ใส่ใจต่อค่ำคืนนี้ว่า ดวงดาวสวยงามเพียงไร เขายังนั่งจับเจ่าอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน อยู่ในท่าเดิมนั้นจนเจ้าจิ้งจกเบื่อที่จะมองดูพฤติกรรมของมนุษย์คนนั้นซะเอง..
เจ้าจิ้งจกยังคงนอนชมดาวต่อไป จนกระทั่งถึงตอนเช้าตรู่ จึงไต่จากฟากลงไปเพื่อหาอาหาร มันได้เจอกับมนุษย์ชายคนเดิม ซึ่งบัดนี้ ร่างกายใหญ่โตของเขาแขวนคออยู่บนเชือกเส้นหนึ่งและห้อยโตงเตงไปมา เจ้าจิ้งจกส่ายหน้าแล้วคิดขึ้นมาว่า ..เกิดเป็นจิ้งจกอย่างมันก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ผูกคอตายหนีปัญหาเพราะมันทำไม่เป็นเช่นมนุษย์.. มันรู้แค่ว่า เมื่อหางมันขาดก็จะงอกใหม่ตามธรรมชาติกำหนด.. แต่ผู้ชายคนนี้ เลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองไปโดยไม่รู้ว่า บางที..การมีชีวิตอยู่..ต่อไปจากนี้ อาจมีเรื่องดีๆ เข้ามาก็เป็นได้
เปรียบเสมือน.. เจ้าจิ้งจกตอนหางกุดนั่นแหล่ะ ชีวิตของมันช่วงนั้นช่างน่าอายเสียจริง เกิดมาไม่ทันเท่าไหร่ก็พิการหางด้วนซะแล้ว แต่จิ้งจกก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ในเมื่อมันมีความหวังกับหางใหม่ที่จะงอกออกมาสวยงามกว่าเดิม เพื่อการเจริญเติบโตในคราวต่อไป...
จุ๊.. จุ๊.. จุ๊.. มันส่งเสียงร้องทักด้วยความเศร้าใจ เป็นการไว้อาลัยให้กับมนุษย์สิ้นคิดผู้นั้น ก่อนจะไต่กระดื๊บๆ ไปหาอาหารมาดำรงชีวิตตามทางที่มันเป็นมา..
2. ไผ่แก้วกลับบ้าน
--------------------
หลายปีแล้วที่ไผ่แก้วได้เข้ามาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในสถานศึกษามีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรของผู้คนทั้งหลาย เขาได้ทุ่มเท มุมานะในการเล่าเรียนเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุดและผลของความขยันนั้นทำให้ได้เกรดดีๆ อย่างที่เขาหวังไว้ แต่ไม่ง่ายเลยที่จะหาเวลากลับไปเยี่ยมบ้าน จนกระทั่งถึงวันหยุดเทศกาลอันยาวนานหลายวัน ไผ่แก้วจึงได้โอกาสเตรียมจัดกระเป๋า..เพื่อเดินทางกลับ
เด็กหนุ่มกลับไปเยี่ยมบ้านในภูมิลำเนาเดิมซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งทางชายแดนภาคอีสาน ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาวพอดี หนทางเดินช่างยาวไกลนักก้าวแรกที่เดินลงมาจากรถประจำทาง ผ่านทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและทุ่งข้าวเหลืองอร่าม พร้อมต่อการเก็บเกี่ยวในไม่ช้า ทำให้ไผ่แก้วรู้สึกมีความสุขมาก..
คันนาน้อยๆ ที่กั้นพื้นดินเป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นมีน้ำขังอยู่ไม่มากเท่าไหร่แต่ยังเพียงพอต่อการที่ปลาหมอ ปลาช่อนและปลาชนิดต่างๆ อีกมากมาย แหวกว่ายไปมาอย่างสบาย.. ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในไร่นาของเขาและพ่อของเขาก็ดูแลทั้งหมดได้เป็นอย่างดี..
แม้ว่าทางเดินที่เขาผ่านมาเรื่อยๆ บางแห่งบางที่ก็เปลี่ยนไปเนื่องจากเดี๋ยวนี้พ่อหันมาทำไร่นาสวนผสม จึงมีพืชผักชนิดต่างๆ ปลูกสลับซับซ้อนกันได้อย่างลงตัว เพื่อใช้ที่ดินในส่วนที่มีให้เป็นประโยชน์สูงสุด มีสระน้ำหลายบ่อไว้เลี้ยงปลา ส่วนมุมสระก็มีเล้าหมูอ้วนๆ หลายตัวร้องอู๊ดๆ แข่งกัน บางตัวก็ถ่ายมูลลงไปในน้ำทำให้ปลาในสระผุดขึ้นมากินไปบางส่วน เสียงเจ้าปลาน้อยกระโดดขึ้นจากน้ำดังจ๋อมแจ๋มๆ.. ไผ่แก้วฟังเพลินและหยุดเดินสักครู่... เขาเห็นเขียดตัวหนึ่งกระโจนตัดหน้าเขาไปอย่างรวดเร็วในพงหญ้าหลังจากนั้นจึงมีงูเล็กๆ เลื้อยตามออกมาแล้วรีบหนีเขาไปอย่างรวดเร็วอีกเช่นกัน..
ไผ่แก้วยิ้มขำกับตัวเองเพราะถ้าเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะเหยียบเจ้างูตัวนี้แน่ๆ เพราะมันซ่อนอยู่ในพงหญ้าข้างหน้านี้เองเพื่อรอจับกินเจ้าเขียดผู้โชคร้ายหรือโชคดีก็ไม่รู้ที่บังเอิญไผ่แก้วเดินผ่านมาขัดเหตุการณ์นี้ซะก่อน..
เขาไม่กลัวเลย แต่ก่อนยังเคยวิ่งตามดูงูด้วยซ้ำว่ามันจะไปทางไหน
ธรรมชาติไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลย มีแต่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ในชีวิตเพราะคนเราเองก็เกิดจากธรรมชาติ และ เมื่อบทสุดท้ายของชีวิตมาถึงก็ต้องกลับไปสู่ดินกันทุกคน.. เขาจึงเข้าใจความเป็นไปในชีวิตมากขึ้นจากการมองโซ่ชีวิตของสรรพสิ่งบนโลกนี้มาจนอายุยี่สิบกว่าปีแล้วได้อะไรมากมายเลยทีเดียว..
ไผ่แก้วเดินผ่านโรงนาเก่าแก่หลังหนึ่งซึ่งเมื่อยังเด็กได้มาวิ่งเล่นและปีนป่ายต้นมะขามข้างโรงนานั้นกับเพื่อนสองสามคนอย่างสนุกสนานภาพก็ยังติดตาและยิ่งนึกถึงทีไรก็เป็นสุขใจทุกที..ที่นี่มีความหลังครั้งยังเด็กที่เขามิอาจลืม.. เขาเดินไปนั่งลงตรงแคร่ใต้ต้นมะขาม คิดถึงเมื่อก่อนที่เคยเอาน้ำพริกกะเกลือมาจิ้มมะขามกินกันกับเพื่อนๆ ที่ปีนขึ้นไปเอาลูกมะขามบนต้น บางคนก็แกล้งโยนฝักใหญ่ๆ ลงมาบนหัวเขาพอดี ช่างเหมาะเจาะจริงๆ ทำให้เขาต้องปีนตามขึ้นไปไล่เตะ แต่เพื่อนเก่งและไวกว่าก็โหนไปโหนมาตามกิ่งต่างๆ ทำให้คนปีนไม่เก่งอย่างเขาไล่จับไม่ทันแถมเหนื่อยหอบแฮ่กๆ เลยล่ะ.. คิดแล้วขำ
ตอนนี้ทุกคนเป็นผู้ใหญ่และแต่งงานกันไปหมดแล้ว คงนึกไม่ถึงว่าตอนเด็กนั้นซนเป็นลิงเป็นค่างกันแค่ไหน..ไผ่แก้วหัวเราะออกมาเบาๆ..
เขาเอนตัวลงนอนเล่นรับสายลมอ่อนๆ ที่พัดเอื่อยๆ ไล้ผ่านผิวกาย ไม่มีเสียงใดรบกวนเขาเลยนอกจากเสียงของธรรมชาติที่มีความยินดีปรีดาเมื่อเขาได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง และอยู่คอยต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเป็นกันเองเหมือนเดิม..
" ธรรมชาติสอนใจคน " เขาคิด
มันหล่อหลอมจิตใจคนให้บริสุทธิ์อย่างที่มันเป็น ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายคน มีแต่คนทำร้ายมัน พยายามปรับแต่ง เปลี่ยนแปลงทุกอย่างด้วยน้ำมือเพื่อให้เป็นโลกใหม่อย่างที่ต้องการ.. ทั้งที่คงลืมไปว่าตัวเองก็เกิดมาจากสิ่งนี้นั่นคือธรรมชาติ.. คนเหล่านั้นพยายามจะหนีห่างและปรับเปลี่ยนมันอยู่ตลอดเวลา..
" มนุษย์ลืมพื้นฐานเดิมของตัวเอง " เขาครุ่นคิด
หรือบางทีคนเราอาจไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่และได้มองผ่านสิ่งดีๆ ที่เคยมีอยู่ไปซะ ไผ่แก้วคิดว่าเขาคงเป็นหนึ่งคนที่จะไม่มีวันแปรเปลี่ยนไปเพียงเพื่อต้องการสร้างสิ่งใหม่อันมีผลประโยชน์มาเกี่ยวเนื่องกัน..
เขารู้ว่า เมื่อสูญสิ้นไปแล้วมันจะไม่มีวันกลับมาเป็นอย่างเดิมแน่นอน ดังนั้นเขาขอเป็นคนหนึ่งที่จะรักษามันเอาไว้ให้นานตราบเท่าที่เขายังอยู่..
ความเงียบทำให้คนเรามีสมาธิ ความสงบทำให้จิตใจสบาย เมื่อสบายและมีสมาธิก็จะก่อเกิดความคิดที่ดีตามมา นั่นคือ ปัญญา.. นับว่าเป็นสิ่งประเสริฐหาได้ยาก ต่างกับสภาพแวดล้อมในเมืองใหญ่ที่ไผ่แก้วสัมผัสมา เขาคิดและตัดไปสู่ภาพของการแข่งขัน ความวุ่นวายจากรถรามากมาย ผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนามาอยู่รวมกัน ทำให้มีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว หากแต่ว่าความสุขในหัวใจคงมีไม่มากเพราะทุกวันต้องคิดๆๆ ว่าจะทำอย่างไรให้วันนี้อยู่รอดและผ่านพ้นไปได้ นั่นก็เป็นชีวิตดิ้นรนอย่างหนึ่งที่น่าศึกษาไม่น้อย..
ไผ่แก้วผ่อนลมหายใจลง ไม่เป็นไรแค่เขายังอยู่กับธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ก็สบายใจแล้ว.. และได้เวลาต้องลุกขึ้นเพื่อเดินต่อไปให้ถึงบ้านเร็วๆ ..คิดถึงพ่อแม่พี่น้องที่รอเขาอยู่.. ยังจะเพื่อนซนๆ เก่าๆ ของเขาอีกล่ะ ป่านนี้คงอุ้มลูกรอให้เขาได้ไปกอด ไปชื่นชมอยู่ด้วยแล้ว ดังนั้น.. เขาต้องรีบไปแล้วล่ะ
คิดแล้วไผ่แก้วเด้งตัวขึ้นมา แบกเป้ใบใหญ่เดินเข้าสู่หมู่บ้านข้างหน้า..ไปถึงแล้วเขาจะแจกรอยยิ้มที่สดใสให้ทุกคนเห็นก่อนเป็นอันดับแรกเลย.. ทุกคนคงจะดีใจและยืนยิ้มตอนรับเขาอยู่เหมือนกันแค่คิดก็สุขใจจริงๆ .. ^_^
3. วันที่เหมียวเสียวสยอง~
----------------------------
ในวันอาทิตย์สบายๆ เหมียวนั่งรถเมล์สายหนึ่งเพื่อไปซื้อสินค้าลดราคาในห้างสรรพสินค้า ระยะวิ่งของรถประจำทางสายนี้ ต้นทางถึงปลายทางก็ไกลเอาการอยู่เหมือนกัน คนขับหน้าโหดมากทำให้เหมียวจินตนาการถึงผู้ร้ายในภาพยนตร์บู๊ที่เคยดูมา แต่ไอ้ผู้ร้ายในหนังมันมีมีดและปืน ดูน่ากลัวกว่า คนขับรถเมล์คันนี้มีมือแค่สองข้างสำหรับบังคับพวงมาลัยรถเท่านั้น แต่ก็มีสิทธิ์ทำให้ตายได้เหมือนกันโดยไม่ทันรู้ตัวซะด้วยสิ ..
รถวิ่งมาเรื่อยๆ ผ่านร้านรวงต่างๆ แล้วทะยานขึ้นสะพาน ลงจากสะพานก็ผ่านหน้าวัดที่ดูเงียบๆ ดี.. จากนั้นทะลุออกมาสู่ถนนสายใหญ่ หลังจากที่มันมุดหนีแยกไฟแดงไปนอกเส้นทางที่ควรวิ่งแล้วลัดเลาะเข้าซอยเล็กซอยน้อย ก่อนโผล่แว่บออกมาตรงถนนใหญ่นี้เอง..
" ได้ทีละ ได้ทีของมันแล้ว.. "
เหมียวหลับตาลงโดยอัตโนมัติ สองมือน้อยๆ เริ่มเกาะเก้าอี้แน่นขึ้น.. ชีวิตของเธอเริ่มผาดโผนโจนทะยานไปพร้อมกับการจราจรครั้งนี้แล้ว ดูสิ ตอนนี้รถเริ่มขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ คนขับเหยียบคันเร่งเพื่อแซงรถเมล์อีกสายข้างหน้า เสียงเด็กกระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกให้ลูกพี่แซงให้ทัน จะได้พ้นไฟแดงที่อยู่ตรงข้างหน้าเร็วๆ
รถขับซิ่งฉวัดเฉวียนเป็นที่หวาดเสียวแก่ผู้โดยสารทุกคน เหมือนเป็นที่รู้กัน ทุกคนเงียบและเริ่มจับภาพวินาทีแห่งความเสียวสยองนั้นไว้ในใจ คอยลุ้นต่อไปว่าคันที่ตัวเองนั่งอยู่ จะได้รับชัยชนะในการแข่งฟอมูล่าวันครั้งนี้หรือเปล่า... เพราะดูท่าทีคนขับแล้วไม่มีใครยอมใครแน่ ต่างฝ่ายต่างสวมวิญญาณนักแข่งรถซึ่งคงจะเป็นอาชีพเก่าแก่ในชาติปางก่อนมาแหง๋มๆ..
เหมียวหันไปมองผู้โดยสารบนรถเมล์อีกคัน ทุกคนตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน แต่ละคนสีหน้าไม่ดีเลยยกเว้นบางคนที่นอนหลับน้ำลายไหลยืดอยู่แบบไม่รู้เรื่อง โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ อาจทำให้ได้หลับยาวนานตลอดชาติเลยก็ได้
รถเบรกเสียงดังเอี๊ยดดดด..!~ ผู้หญิงบนรถร้องกรี๊ดกัน ต่างจากเสียงกรี๊ดในคอนเสริตมากเนื่องจากบางคนตกใจจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้า อีกไม่ถึงเมตรมีสิทธิ์ได้ชนท้ายกันแน่นอนถ้าหยุดไม่ทัน คนขับอารมณ์เสียมากมีการด่าโขมงโฉงเฉงกันใหญ่ ฟังจับความไม่ค่อยได้ เพราะด่าเป็นภาษาต่างถิ่นแบบไม่อยากให้คนฟังรู้เรื่องซะด้วย..แล้วก็เริ่มขับแซงกันต่อเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวในยุทธจักร (บ้าๆ บอๆ ) ของมัน... -*- ...
อ่า... การผจญภัยในเมืองหลวงที่หาได้ไม่ยากอย่างนี้ มีให้เหมียวมานั่งเสียว นั่งลุ้นทุกวันในราคา 5 บาทถ้วน ไม่ต้องไปเที่ยวสวนสนุกนั่งเครื่องเล่นมันส์ๆ ฮาๆ ที่ทำให้เสียเงินมากกว่า ไม่รู้ว่าคุ้มสุดคุ้มหรือเปล่าเนี๊ยะ... ??+
เหมียวไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพิการวันไหน เธอเลือกไม่ได้ในเมื่อชนชั้นกลางหาเช้ากินค่ำ&มนุษย์เงินเดือนอย่างเธอ ไม่มีรถส่วนตัวไว้ขับเอง จึงต้องก้มหน้าก้มตาใช้บริการทะยานเหาะของรถเมล์ต่อไปแบบจำยอมอย่างยิ่ง.. ถ้าให้เธอเดินนะเหรอ เหอะๆ มีหวังขาลากขาเปื่อย เหนื่อยจนตับปลิ้นลิ้นห้อยแน่ และอาจต้องเปลี่ยนรองเท้าบ่อยเดือนละหลายๆ คู่ หนักกว่าเก่าอีกตังหาก ฉะนั้น..เหมียวส่ายหน้าไม่เอาวิธีหลังดีกว่า..
คนขับสั่งเด็กกระเป๋ารถเมล์ให้ดูรถคันหลังที่วิ่งตามขึ้นมาคู่กัน ปรากฎว่าเป็นคันของเพื่อนซี้ (หรือญาติสนิทคนขับ) นั่นเอง มีการตะโกนคุยกันอย่างกับไม่ได้เจอมานานเป็นปี คุยไป ขับไป อย่างออกรสออกชาติ ผู้โดยสารคนหนึ่งลุกขึ้นไปกดกริ่งเพื่อขอลงป้าย แต่คนขับไม่ได้ยินเพราะมัวแต่คุยจ้อจึงจอดเลยป้ายไปเสียไกล ผู้โดยสารที่แสนโชคดีคนนี้ ต้องเดินออกกำลังกายกลับมาอีกโข ทำให้หน้าบูดมู่ทู่ด้วยความโมโห ปากก็บ่นพึมพำๆ ให้พรบางอย่าง แล้วจึงลงจากรถไป ...
เหมียวทำหน้าเซ็ง อยากหลับให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวน้ำลายไหลยืดออกมาเป็นที่อุจาดตาแก่ผู้พบเห็น แถมมีสิทธิ์โดนแอบถ่ายไว้แบลคเมล์ตอนเป็นใหญ่เป็นโตได้ ฉะนั้นเหมียวต้องระวังงง...เธอเลยเลิกคิดดีกว่า แป่ว..
อีกสองสามป้ายก็จะถึงห้างสรรพสินค้า เหมียวจึงรีบเดินไปโหนรอที่จะลง เหมียวรู้ดีว่า คนขับใจดีชอบแถมป้ายให้ ก็เลยทำเป็นจะลงก่อน และในที่สุดของแถมนั้นก็เป็นป้ายที่เธอต้องการจะลงจริงๆ มากกว่า.. อิอิ ฉลาดกว่าคนขับละกัลลล์ .. เหมียวคิด
เจ๋งเป้งอย่างที่คิดเอาไว้เลย พอกดกริ่งจะลงแต่.. คนขับไม่อาจจอดได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง (ที่ผู้โดยสารพอจะรู้ แต่คนขับทำเป็นไม่รู้) รถจอดเลยไปอีกป้ายหนึ่ง.. คนขับหันมายิ้มแปลกๆให้ ส่วนเหมียวยิ้มตอบกลับแบบสะใจมากกว่า 555 ก๊าก.. เธอหัวเราะในใจ หันไปขอบคุณแล้วก้าวลงจากรถด้วยความโล่งอกโล่งใจ..ไปหนึ่งเที่ยว
คนที่รอรถอยู่ ก็วิ่ง 4X100 เมตร กรูกันมาหน้าตั้งยังกับแข่งมาราธอน ขึ้นไปร่วมเป็นประชากรในการผจญภัยบนท้องถนนกันต่อไป ..
ขอให้ถึงที่หมายด้วยความปลอดภัยด้วยเถ๊อะ!! .. เหมียวคิดอย่างเป็นห่วงทุกคนอยู่ในใจ..เพราะเธอเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว..แถมขากลับเธอเองก็ต้องมานั่งลุ้นต่ออีก ชีวิตช่างมีรสชาติจริงๆ เลย เฮ้อ...

The story of Love..
คงเป็นเพราะ..ฉันรักคุณ
ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมอบให้เพียงคุณ ฉันไม่อาจลืมคุณได้ ตราบนานชั่วชีวิตของฉัน นานเท่านาน..คุณจะอยู่ในหัวใจฉันเสมอ ขอให้คุณจดจำไว้ไม่ลืมเลือน ...
ความสวยงามของคำว่า ..รัก..
ก็เปรียบกับความงดงามในใจของคุณ ทำให้ฉันศรัทธาและฉันจะยึดมั่นในความศรัทธาที่มีต่อคุณอย่างไม่มีวันจางหาย..หากแม้ตัวฉันตาย บทกลอนบทกวีในกระดาษแผ่นนี้..ก็จะยังคงอยู่
เราจะได้ร่วมกันรำลึกถึงวันหนึ่ง ในช่วงชีวิตหนึ่งของเราสองคน ว่าส่วนลึกของจิตใจ อยากจะมอบแต่สิ่งที่ดีให้แก่กันและกัน... อยากเห็นความเจริญงอกงามบังเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเราทั้งสองคน ถ้าคนใดคนหนึ่งล้มลงไป เราพร้อมที่จะยื่นมือดึงให้คนหนึ่งคนใด ลุกขึ้นมาเพื่อสู้...เพราะนอกเหนือจากการต่อสู้เพื่อตัวเอง เราต้องต่อสู้เพื่อคนอื่น...
เราจะให้กำลังใจกันเสมอ ฉ้นก็จะมีใจให้คุณเสมอ เพื่อที่คุณจะมีฉัน ร่วมเดินทางในความเหน็ดเหนื่อยทุกๆ ด้านไปพร้อมกับคุณ...
ฉันรักคุณ. ฉันจะบอกคุณทุกวันจนกว่าคำนี้จะห่างหาย..ก็ต่อเมื่อ..ลมหายใจฉันขาดลง ..
ฉันจะรอคอยความสำเร็จของคุณ และชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านั้นด้วยความตื้นตันใจ..
ก่อนแสงตะวันจะร้างลาไกล
ก่อนหยาดหยดน้ำตา...จะรินไหล
อยากให้คุณแค่เพียง..รู้ไว้
ฉันไม่เคยรักใครมากเท่าคุณ
.......คุณจะเป็นคนเดียวในใจฉัน.. ตลอดไป*
/กอหญ้าริมลำธาร..
**
........ ฉันวิ่งไล่ตามความฝัน ตามวันเวลาที่ผ่านไป ฉันไขว่คว้าหาเธอในความว่างเปล่า หยุดอยู่กับความหลังครั้งเก่าๆ กับความรู้สึกในหัวใจว่าฉันรักเธอ และจมดิ่งกับความเจ็บปวดในชีวิตที่เธอหยิบยื่นให้........
......... เมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป กับทุกค่ำคืนที่ฉันต้องเดียวดาย เดินอยู่บนถนนเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็น เช้า สาย บ่าย เย็น ฉันร้องไห้ น้ำตาไหล อยู่กับความรักที่มีให้แด่เธอ ทุกวัน
ฉันไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหน
มันหยุดอยู่กับที่ ตั้งแต่วันที่เธอจากไป
ฉันเพียงยืนอยู่บนโลกใบเดียวกับเธอ
ไร้ซึ่งหนึ่งชีวิตให้เธอได้คิดถึง...
ฉันมีแค่ลมหายใจไปวันๆ..
รอแค่เธอกลับมา ขอโทษและโอบกอดฉัน กับสิ่งที่เธอทำร้ายให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันรักเธอมาก แต่เธอคงลืมฉันไปแล้ว ฉันรักเธอเหลือเกิน มันคอยตอกย้ำให้ฉันต้องหยุดอยู่กับแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายปีที่ผ่านไป..
เธอจะกลับมาซับน้ำตาให้คนบ้าอย่างฉันเมื่อไหร่ ?
ในความฝันทั้งที่หลับและตื่น
มันทำให้ฉันลุกขึ้นมา..กอดตัวเอง ร้องไห้ในความมืด
ฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้ แต่ฉันก็เป็นแบบนี้ทุกวันเพราะใคร
ในกลางคืนที่มืดมน .. ฉัน เดิน ไป คน เดียว ทุก หน ทุก แห่ง จิตสำนึกคอยหลอกหลอนตัวเองว่าฉันเดินจับมือเธอ เธอโอบกอดไม่ให้ฉันต้องเดียวดาย แต่ในความเป็นจริง .. ฉัน กอด ตัว เอง แล้ว เดิน อยู่ ใน นรกขุมสุดท้ายที่เธอขุดไว้เพื่อฝังฉันไปกับกาลเวลาที่เธอลืม..
ลืมหนึ่งชีวิตที่หายใจร่วมกับเธอ บนโลกใบเดียวกัน น้ำตาของฉันไหลออกมา ครั้งแล้วครั้งเล่า วันหนึ่งฉันเดินอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว ผ่านทิวไม้ ใบหญ้า ลมได้พัดพามันไหวไป ฉันหยุดมองแล้วร้องไห้ นึกถึงวันที่เราเดินด้วยกันในคืนหนึ่ง แต่เวลานี้ฉันยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และหลับตาคิดถึงเธอ ว่าฉัน กอดเธอไว้ด้วยความรักที่ซาบซึ้งในหัวใจที่จะมีให้เธอคนเดียว..
เธอเห็นคุณค่าของความรักที่ฉันมีให้เธอ บ้างไหม?
เห็นค่าของจิตใจที่มันทำเพื่อเธอ หลายๆ อย่าง บ้างหรือเปล่า?
ฉันไม่อาจงดงามด้วยรูปกาย แต่หัวใจดวงนี้สะอาด ไว้มอบให้เธอแค่คนเดียว ฉันจมอยู่กับการจากไปของเธอ.. อดทนกับความคิดถึงที่แสนเจ็บช้ำ.. เธอเหยียบฉันไว้อยู่กับหน้าที่ของฉัน ที่จะต้องปล่อยเธอให้พบกับทางที่ดี ที่เธอเลือกเดินไปกับคนใหม่ แต่ฉันจะต้องเดินลงไปสู่นรกที่มันเป็นทางเดียวที่ฝังฉันอยู่ขณะนี้
ไม่มี ที่ไป
ไม่มีหนทางเดินใหม่
ไม่มีใครเห็นใจและโอบกอดฉัน
และฉุดขึ้นมาจากสิ่งเลวร้ายที่ถาโถมเข้ามา ฉันหลับตาลงได้เพียงแต่คิดว่า ฉัน กอด เธอ กอด ความ ว่าง เปล่า.. กอดสายลมที่พัดผ่านไปในทุกวินาที ฉันอยากกอดเธอในความเป็นจริง.. อยากบอกรักเธอ.. ให้ความรู้สึกแล่นผ่านคำพูดนั้น ให้เธอฟัง..
ที่รัก เธอยังคงคิดบ้างไหมว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ เพื่อรอเธอตลอดไป..
ที่รัก อย่าให้ฉันต้องร้องไห้เดียวดายบนถนนสายเก่าที่เราเคยร่วมเดินอีกเลย
โปรดหันมามองว่าฉันเป็นอย่างไร ไม่เคยมีวันไหนที่จะไม่คิดถึงเธอ อย่าปล่อยให้ฉันตายไปกับกาลเวลา อย่าลืมฉันคนนี้ที่มีหัวใจเพื่อรอเธออีกเลย..
จะถึงวันคริสมาสที่ฉันต้องอยู่เงียบเหงาคนเดียวในห้องแคบๆ ฉันอยากให้เธอรู้ว่า... ฉันเหนื่อยกับการหลับตานอนเพื่อให้ลืมคิดถึงเธอ .... เหนื่อยกับการตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้หาเธอ ฉันมันเด็กๆ วาดหวังไว้อยู่แต่กับจินตนาการที่ฝันไว้ในใจ ฉันไม่เคยจะโตเป็นผู้ใหญ่อย่างที่คนอื่นเป็น และฉันก็อยากเป็น แต่ฉันยังทำไม่ได้...
สิ่งที่คอยปลอบใจของฉัน ในคืนวันที่แสนอ้างว้างนี้ คือ...ความคิดที่คอยบอกกับตัวเองว่า ให้เชื่อในความรักที่มีต่อคนๆ หนึ่ง แล้วสักวัน ความรักนั้นจะทำให้เขากลับมา และ ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน อยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ ในที่สุดก็ต้องกลับมาหาคนที่เรารักเป็นที่สุดท้ายในชีวิต
และฉันก็ไม่มีวันไปจากเธอ ไม่มีวันไปจากเธอ...
ในหัวใจที่เฝ้าคอยบอกแต่ว่า ฉันรักเธอ
และด้วยความรู้สึกที่ฉันมีให้เธออยู่เต็มหัวใจ
เธอจะเป็นที่สุดท้าย ที่ฉันจะฝากชีวิตไว้ ไม่ไปไหน
ทุกลมหายใจ เข้า-ออก ฉันจะมีแต่เธอคนเดียว...
เพราะฉันเกิดมาเพื่อที่จะเป็นของเธอ ทั้งตัวและหัวใจ
ขออธิษฐานฝากถ้อยคำนี้ไปสู่เธอ ในคืนวันคริสมาสที่แสนวิเศษและงดงาม ขอให้เธอได้รับรู้ส่วนลึกของหัวใจดวงนี้ กำลังกอดเธอแนบแน่น
กอดร่างกายที่ฉันแสนรัก
กอดแผลเป็นของเธอ
กอดต้นคอที่ฉันเคยซบหน้า แนบแก้มอยู่ด้วยความสุขและอบอุ่นใจ
สอดประสานนิ้วมือนุ่มๆ ของเธอนั้น ด้วยมือเล็กๆ ของฉัน
จรดริมฝีปากลงแนบแก้มอูมๆ ของเธอเบาๆ
น้ำตาฉันอาจไหลผ่านบ่า ของเธอ
แต่ฉันมีความสุขเหลือเกิน ที่รัก.. ฉันมีความสุขมาก..เลย ฉันจะสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมหนาของเธอ เก็บฝังไว้ลงบนกลางใจของฉัน
ฉันห่วงเธอเหลือเกิน
ไม่อยากให้ใครกอดร่างกาย คนที่ฉันรัก คนนี้
อยากให้เธอเป็นของฉันคนเดียว
เพราะฉันรักทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเธอ
รักยิ่งกว่าชีวิตที่ฉันมี
ขอฉันกอดเธอในความฝัน.. ในคืนวันคริสมาสนี้ นะคนดี... T_T
/คนบนถนนสายเก่าที่เธอเคยร่วมเดิน..
**
..เมื่อวันหนึ่ง ฉันเดินไปในตอนกลางคืน ดวงดาวบนฟ้าส่องแสงประกายวับวาม ความรู้สึกในหัวใจได้ผุดขึ้นมา
คิดถึงเธออีกแล้ว
แต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนไม่รู้เลย ผู้คนเดินสวนทางมา และเดินไปพร้อมกับฉันบนเส้นทางสายเดียวกัน แต่ไม่มีใครเหมือนเธอเลยสักคน พวกเขาทำให้ฉันได้แต่รู้ว่า ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่ยังคงร่วมเดินทางเดียวกัน โดยที่ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร หรือฉันจะเป็นเพียงแค่อีกหนึ่งชีวิต ที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้
ในความหลากหลายของแต่ละชีวิตที่ผ่านเข้ามาให้ฉันได้เห็น ฉันได้ซึมซับภาพของการใช้ชีวิตของทุกคนลงบนจิตใจในแต่ละวัน แต่ภาพของเธอ ฉันไม่อาจได้เห็น ได้ซึมซับกับมัน เมื่อหลายปีได้ผ่านไป
เธอจะสุข จะทุกข์อย่างไร
ฉันไม่เคยรู้ รู้แต่เพียงว่า
ฉันไม่เคยรู้จักคำว่า สุข
ตั้งแต่วันที่เธอจากไป
บรรทัดฐานชีวิต ความแตกต่างระหว่างการศึกษา ฐานะ และความคิด รวมไปถึงนิสัย ทำให้เธอต้องลาจากฉันไป ลืมมนุษยธรรมในใจและความรับผิดชอบที่ควรจะมีต่อผู้หญิงคนหนึ่ง..
ด้วยเพราะแค่สังคมที่เราอยู่มันต่างกัน
มันอาจจะไม่ใช่ความผิดของใคร
เธอคิดง่ายๆ ว่าฉันก็แค่ชีวิตหนึ่งที่ผ่านเข้ามา แล้วก็จะผ่านไป
แต่ฉันกลับฝังเธอลงไป ในหัวใจ ลงไปทั้งชีวิตและจิตใจ
เธอที่ผ่านเข้ามาในคืนวันอันแสนประหลาด แต่เธอมิอาจผ่านไปจากใจดวงนี้ ของฉันได้
แน่นอนที่ฉันอยากจะให้เธอได้มีวันที่ดีๆ
มีชีวิตที่สวยงามอยู่บนทางที่เธอเลือกเดิน
ฉันยอมเสียสละ ปล่อยเธอให้ไปกับทางใหม่ที่เธอเลือก
ด้วยความยินยอม ที่แสนเจ็บปวด
แต่ทางที่จะเดินไปสำหรับฉัน มันไม่มีให้ต้องเลือก เพียงเพราะหัวใจ ยึดติดอยู่กับเธอ เธอบอกฉันว่าอย่ายึดติดกับมัน ก็เพราะเธอทำได้ เธอไม่มีหัวใจ เธอยังคงไม่เคยรักใคร กับ ด้วย ทั้ง หมด ของ ชีวิต ที่มี เธอจึงพูดมันออกมาได้ โดยไม่รู้สึกอะไร...
ฉันต้องจมดิ่งอยู่ในห้วงเหว แห่งความโหดร้าย
ชีวิตที่เดินพร้อมกับความสกปรกในราคีกาย สกปรกจากมือชั่วๆ ที่เปื้อนเลือด.. จากที่ฉันกับเธอ ได้ร่วม ทำ ต่อ สิ่ง บริสุทธิ์ ที่ผุดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ในกายฉัน...
เราจึงต้องร่วมรับบาปกรรม ที่เราได้ก่อ ซึ่งเธอได้รับน้อยกว่าฉัน หรืออาจไม่กระเทือนถึงใจเธอ เพราะความโหดร้าย เย็นชาภายในใจของเธอ ที่มองไม่เห็นซึ่งการกระทำอันแสนบัดซบ..จะมีผลทำให้เธอได้รู้สึกผิดที่ก่อมันขึ้นมา ร่วมกับฉัน เพียงเพื่อจะหาทางออกที่เห็นแก่ตัวให้กับตัวเอง...
เธอคงไม่รู้สึกถึงมัน และ คงมีชีวิตอยู่กับความสุขและหนทางใหม่ที่เธอเลือกเดินไป
ทิ้งฉันไว้กับสิ่งเลวร้ายที่คอยทิ่มแทงหัวใจให้ฉันไม่ต้องเป็นผู้เป็นคนกับเขา
เธอไม่เคยหันมาเหลียวแล
เธอมีแต่ทางใหม่ที่ต้องเดินไป
ไม่มีวันกลับมา
นี่หรือคือ ชีวิตที่ฉันได้รับรู้และซึมซับไว้ มันช่างโหดร้ายเหลือเกินกับหัวใจอ่อนบางของฉัน และมันจะคอยทำร้ายฉันอยู่อย่างนี้ตลอดไป จนกว่าฉันจะหมดลมหายใจใช่ไหม?...
/สิ่งมีชีวิตที่นอนข้างกายเธอเมื่อสามปีที่ผ่านมา..
**
รำลึกถึง++เพียงวันหนึ่ง..
หากจะเปรียบเทียบชีวิตฉัน เหมือนเช่นกระดาษแผ่นนี้ ซึ่งขาว สะอาด หมดจด ไร้เส้นบรรทัดสำหรับขีดแบ่งให้เนื้อความระเบียบเรียบร้อยไปในแนวทางเดียวกัน คงคุณค่าแก่การชมแล้ว...
"ต่างกันราวฟ้ากับดิน"
ชีวิตเกิดมาท่ามกลางความอบอุ่นในอ้อมกอดของพ่อแม่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่งดงามของธรรมชาติ...บนถิ่นที่อยู่อาศัย แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิตฉันเท่านั้น มิใช่จุดหมายหรือจุดจบในตัวฉัน มันเป็นพื้นฐานที่ควรจดจำไว้เท่านั้น..
จดจำไว้เพราะมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับวิถีชีวิตที่แสนสกปรกของฉันในปัจจุบันนี้ และพื้นฐานที่ดีงามเหล่านั้น จะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว เพราะผู้ที่อยู่ร่วมกับฉันในคราวนั้น..ผู้ที่สร้างฝันแต่เยาว์วัยให้ และเป็นกำลังใจเรื่อยมา เปรียบเสมือนหลักให้ฉันยึดถือ และ ปฏิบัติตามแบบครรลองที่ควรแล้วแก่การปฏิบัติ
ผู้ที่ฉันกำลังระลึกถึงอยู่จนบัดนี้...ได้มลายหายไปแล้ว !..
ทั้งๆ ที่พื้นฐานแห่งชีวิตที่ฉันเคยสัมผัส และต้องการกลับไปสู่จุดเดิม คนๆ นี้หรือคนเหล่านี้ เป็นผู้วางรากฐานของมัน...
ดังนั้น.. คำว่า.. "มลายหายจาก" และคำว่า "ไม่มีอีก" จึงทำให้ฉัน "ไม่เหลือ" และ "ไม่หวนกลับ" ไปสู่สิ่งนั้นดังฝันไว้ ไม่มีใครรอคอยด้วยรอยยิ้มแห่งความรักและความอบอุ่นที่มีต่อฉันอย่างจริงใจ...
สิ่งที่รับรู้ จึงเป็นเพียงอดีตที่สวยงาม ควรค่าแก่การคิดถึงคำนึงหา แม้เวลาจะล่วงเลย ผ่านไปเรื่อยๆ แต่ยังคงฝังอยู่ในใจ เพราะชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง หรือ อีกแง่มุมหนึ่ง อาจมีพลังแห่งความสุขได้ ถ้าคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น แต่ก็เป็นความสุขล้ำ เพียงชั่วครา...
- - -ลาก่อน- - - ชีวิตแต่เยาว์วัยและ...อดีตที่แสนหมดจด*
... มัน หมดจด ไปตั้งนานแล้ว ...
/อดีตสีขาว...
**
++เงาชีวิต++
ทิฐิ มานะ ความอดทน อดกลั้น คือสิ่งที่ฉันเป็น
ฉันจะเป็นในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันจะมั่นใจในตัวเอง จะเดินไปในแนวทางที่ฉันวาดหวังไว้
ถ้าทุกอย่าง พังทลาย ฉันก็ไม่เสียใจ เพราะพื้นฐานภายในจิตใจ
"ฉันไม่เคยกลัวสิ่งใดในชีวิต"
สิ่ง เดียว ที่ เหลือ อยู่..คือ พ่อ* ผู้เป็นดวงใจของลูก
คือสิ่งเดียวที่ฉันยึดมั่น ผูกพัน มิลืมเลือน สิ่งเดียวที่ผูกมัดใจฉันไว้
คือ พ่อ ผู้เดียวเท่านั้น...
หนูรักพ่อที่สุดค่ะ..
รักจากทั้งหมดของหัวใจ.
/..ตัวเล็กของพ่อ
**
สุดท้ายฉันพ่ายแพ้เขาจริงๆ ใช่ไหม?
ฉันพยายามลืมทุกอย่างที่เป็นเธอไป แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนใจฉันได้ง่ายๆ มันยากนะเพราะภาพความทรงจำที่กลับกลายเป็นวันวานไปแล้ว มันยังคงเด่นชัดอยู่ ภาพที่เราทั้งสองสนิทสนมกัน โอบกอดกันด้วยไมตรีที่บริสุทธิ์ของคำว่า " เพื่อน " ทำให้เราทั้งสองหัวเราะ และบางเรื่องทำให้ฉันร้องไห้ ทำให้เธอโกรธ เงียบ และงอน จนฉันเริ่มอ่อนไหวและหวั่นไหวในใจขึ้นมา
มันทำให้เกิดอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งๆ ที่เธอและฉันยังคงทำตัวเดิมๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้น มันกลับกลายมาฆ่าฉัน ให้หวนคิดถึงเธอคนนั้น ในขณะนี้...
ฉันผิดไหม ? ที่ฉันรักเธอเข้าไปเต็มหัวใจซะแล้ว ... ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ว่าคนเราไม่อาจฝืนใจกัน เพื่อที่จะให้มีความรู้สึก " ตรงกัน "
..เธอ ไม่ รัก ฉัน เลย..
เพียงเพราะฉันไม่ดีพอ ฉันไม่สามารถทำอะไรให้เธอภูมิใจได้ ไม่เหมือนเขาคนนั้นใช่ไหม ?... เขาคงดีกว่าฉันหลายๆ ด้าน ..
ขอโทษเถอะนะ ถ้าฉันจะขอให้เธอกลับมาเหมือนเดิม แม้ว่ามันอาจจะสายไปแล้วก็ตาม เธอรู้มั๊ย ฉันมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ฉันไม่อาจนั่งคุกเข่าขอร้องเธอซ้ำ ๆ ได้อีก... มันจะมีเพียงคำเดียว ครั้งเดียว บนกระดาษแผ่นนี้ แล้วมันจะไม่มีอีกแล้ว
..ตลอดชีวิต..
ฉันอาจจะใช้เวลาครึ่งชีวิต หรือ ทั้งชีวิตเพื่อให้ลืมเธอได้ และลืมอดีตที่แสนเลวร้ายของฉัน อดีตที่ไม่งดงาม แสนสกปรก ที่คนดีๆ อย่างเธอไม่อาจรับได้ แตะต้องมันไม่ได้ เพราะมันจะเปื้อนมือที่สะอาดของเธอ... ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันผ่านความรักมามากมาย แต่เธอจะเป็น " ผู้ชายที่ดี ที่แสนหยิ่งยะโส " ของฉัน...
วันนี้ฉันได้แต่รอคอยเธอมาทุกวันเพื่อเห็นหน้า เธอคือกำลังใจของฉัน เป็นพลังดำเนินชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ฉันก็เพียงแต่แอบมอง และทำเฉยๆ เย็นชา เธอคงไม่รู้หรอกว่า ฉันกำลังเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไหน...
มันก็ยังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจภายใต้ดวงหน้านั้น ที่เธอเห็นทุกวัน... ตลอดเวลา*
/ยัยน่าเบื่อของเธอ..
**
*~เธอ..ก็แค่สายลมที่พัดผ่านมา.. แล้วก็ผ่านไป~*
ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ว่าเธอไม่รัก เพราะฉันมี " อดีต " ที่ไม่งดงามสักเท่าไหร่ ถึงแม้ตัวฉันจะพยายามลบมันออกไปจากหัวใจ มันก็ยังคงค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ อยู่เรื่อยมา..
จะให้ฉันทำยังไง ?
หรือให้ขอโทษสักล้านครั้งแล้วก็พูดออกมาดัง ๆ ว่าฉันรักเธอ
ทุกสิ่งที่ฉันทำไป ฉันทำได้เพื่อเธอ
เวลาเราเริ่มน้อยลง เริ่มจะน้อยลง
และเราคงต้อง ------- ลาจากกัน ------- อยู่วันยังค่ำ
รับรู้ทุกอย่างที่เป็นเธอ แต่ไม่เคยมีความหมาย เธอยังคงเก็บใจ ไว้ให้ใครบางคนลับๆ ตา ฉันไม่อาจทำใจ ถ้าเธอต้องไปจริงๆ ฉันยังคงมีเธออยู่เต็มหัวใจ ลาจากเธอ คือ เรื่องที่ทำไม่ได้..อยู่เรื่องเดียว
การวางตัว คืออะไร?
คือสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดอยู่นี้ใช่ไหม?
เพราะมันไม่ใช่ตัวฉันเลย การวางตัวระหว่างเรา กับความรู้สึกที่อยู่ในใจของฉัน มันสวนทางกัน... ฉันมิใช่เพื่อนเธอ ฉันมิใช่แค่คนรู้จัก ฉันเป็นคนรักของเธอ แต่ทำไม... เธอถึงต้องให้ฉันวางตัว วางตัวเพื่อให้ใครๆ ได้เห็นว่าเราเป็นแค่คนที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้เท่านั้น... มันไม่ใช่ตัวฉันเอง เธอจะให้ฉันหลอกใจตัวเองไปถึงไหน ฉันเป็นอย่างนี้ เธอควรจะภูมิใจมิใช่หรือ ที่ฉันทำได้อย่างนี้ เธอจะฝืนฉันให้ทำตามบทบาทที่เธอกำหนดไว้ได้อย่างไร ฉันทำไม่ได้จริงๆ..
ทำไมนะ.. เธอถึงได้ทำเฉยๆ แบบนั้น ไม่ว่าฉันจะมองในแบบไหน ก็ไม่อาจเดาใจเธอได้ถูก เธอกำลังคิดอะไรอยู่? เธอคิดว่าฉันจะเสียใจสักแค่ไหน เมื่อเปิดหัวใจเธอไม่ได้ บอกฉันสักนิด ว่าฉันควรทำอย่างไร?
เ ธ อ มี หั ว ใ จ ห รื อ เ ป ล่ า ? . . รู้ มั๊ ย ว่ า . . .
โ ล ก ส ด ใ ส ด้ ว ย รั ก . .
รัก ทำ ใ ห้ โ ล ก ส ด ใ ส . . .
เ ธ อ ทำ ใ ห้ ใ จ เ อิ บ อิ่ ม . . . . .
เ ธ อ ทำ ใ ห้ อ า ร ม ณ์ เ พ ริ ด พ ริ้ ม . . .
ด ว ง ห น้ า จิ้ ม ลิ้ ม เ ริ่ ม ยิ้ ม บ า น ๆ . . . ก็ เ พ ร า ะ เ ธ อ . . .
**
THE CLASSIC LOVE IN MY HEART
ใต้ร่มเงาไม้เย็นๆ ของวันหนึ่ง ลมพัดเบามาพาดผ่านผิวกาย ผู้หญิงคนหนึ่ง ปอยผมของเธอสะบัดไปตามแรงลมอ่อนๆ นั้นเบาๆ แสงแดดอ่อนสดใส ทาบเงากิ่งไม้ตกลงมาถึงพื้น...เธอนั่งแนบชิดพิงอยู่กับโคนต้นไม้ มองพื้นหญ้าไปเบื้องหน้า ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าลาดชันลงไปสู่ธารน้ำเบื้องล่าง สีเขียวขจีของใบหญ้าทำให้เธอสบายใจ สบายตา และมีความสุขกับการดื่มด่ำในธรรมชาติ ความคิดอยากจะเก็บภาพเหล่านี้ไว้ตลอดไป ...
ลมวันนี้ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน หลายคราวที่ทำใบไม้ไหวให้เธอได้เห็น ทำให้ใจอ่อนไหวตามแรงลมได้อย่างน่าประหลาด .. ความคิดของเธอผุดขึ้นมาจากความทรงจำในเบื้องลึกของหัวใจ ใช่สินะ 3 ปีผ่านไปไวเหมือนดั่งฝัน เวลา ณ วันเก่าๆ และความรู้สึกเดิมๆ ได้กลับมาอีก...
เมื่อคราวที่เธอคงสวมชุดนักเีรียนพาณิชย์ และได้นั่งทอดกายอ่านหนังสืออยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขณะที่กำลังตาปรือ งัวเงีย ด้วยฤทธิ์แห่งตำราเรียนอันท่องจำซ้ำซากจนน่าเบื่อ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกที ปรากฎว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
" หึ หึ.. ไม่คิดเลยว่าจะเจอยัยแว่นจอมบ้าเรียน มานั่งอยู่ที่เดียวกับที่ฉันนั่งประจำ "
ยัยแว่น ที่โดนใครคนหนึ่งตั้งฉายาให้ลืมตาโตขึ้นมา เธอหันขวับไปยังต้นเสียงทันที ใบหน้าใสๆ หมดจดและได้รูปคมของผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนมองห่างจากเธอไปสองสามก้าว ช่างยั่วยวนกวนอารมณ์ดีแท้...
" นายด๊อคจอมสะตึ !.." เธออุทาน
" นี่นายมาทำอะไรที่นี่ ชั้นอุตส่าห์หนีมานั่งคนเดียว เงียบๆ แล้วยังตามมาหลอกหลอนอีกนะ "
เสียงเล็กๆ ขึ้นจมูกบ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความรำคาญ ทำให้รู้ว่าสองคนคงมิใช่มิตรแท้ที่ดีต่อกันอย่างแน่ๆ ก็หล่อนเริ่มต้นด้วยเสียงแข็งๆ
" อ้าว เธ๊อ !~ " นายสะตึ ที่เธอเรียกส่งเสียงยียวนกวนบาทา มาทันที
" ใครบอกว่าชั้นตามเธอมาที่ตรงนี้อ้ะ มันเป็นที่ ๆ ฉันนั่งประจำตังหาก อ่า...นี่เธอคงไม่สนใจใครจะไปไหน มาไหน เป็นยังไงเลยสินะ ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย "
ว่าแล้วก็ยักคิ้ว แล่บลิ้นปลิ้นตา ทำหน้าล้อเลียนเด็กสาว อย่างที่ใครเห็นก็อยากจะกระทืบสักที
" จริงๆ เล้ย ยัยองคุลี เฮ่อ.. ชอบเข้าใจผิดทุกที "
" ฉันชื่อ อัญชลี ย่ะ ไม่ใช่ องคุลี ไม่ทราบว่าสมองนายผิดปกติรึไง ถึงเรียกชื่อคนอื่นเพี้ยนๆ "
อัญชลี หรือ อัญ ตาเขียวใส่เขา พลางเก็บหนังสือและสัมภาระจะเดินกลับ
" อ๊ะ อ๊ะ เธอจะปายหนาย... " เขาลากเสียงยาวกวนอารมณ์เธอเพิ่มขึ้นเหมือนสนุำกสนานเต็มที่กับการได้แกล้งเธอ ถ้าเห็นอัญชลีหน้าบึ้ง และ เชิดหน้าใส่ เขายิ่งชอบสุดๆ
เขายิ้มจนเห็นฟันเรียงกันขาวสะอาด " อย่าเพิ่งไปดิ่ "
" อย่ามายุ่งกับชั้น ! " เธอกระชากเสียงแล้วทำท่าจะเดินหนี แต่เด็กหนุ่มเดินมาขวางกั้นทางเอาไว้ ไม่ให้ไปไหนง่ายๆ แล้วเขาก็ชักสีหน้า..
" ฉันชื่อ ธนัต นะ ไม่ใช่ ด๊อคสะตึ เธอเีรียกฉันใหม่เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะขวางทางไว้ไม่ให้กลับ "
เขาว่า ส่วนเธอหน้าแดงด้วยความโกรธ
" หลีกไปนะ ! จะมายืนขวางทำไมตัวยังกะ. . . ยังจะมา . . ."
" อะไรนะ !!" ธนัตอุทานเสียงห้วนดัง " เธอว่าฉันตัวยังกะอะไรอ้ะ ? "
" ไม่รู้ คิดเอาเองสิ " เธอสะบัดเสียงใส่
เขากระชากมือเธอมาจนเซปะทะอกของเขา ตัวธนัตสูงใหญ่ บดบังร่างของอัญชลีจนมองไม่เห็น
" ปล่อยฉันนะ คนบ้า กล้าดียังไง มาจับมือฉัน ปล่อยยย ฉันเจ็บนะ "
อัญชลีร้องเสียงหลง ทำหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงบิดจากมือของคนแข็งแรงกว่า
" โอ้ย อีตาบ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้ เป็นบ้าอะไรไปแล้ว ๆๆ " เธอแกล้งร้องให้ดังขึ้นหวังจะให้เขาปล่อยพันธนาการมือออกไป แต่กลับยั่วให้เขาต้องบีบข้อมือเธอแน่นขึ้น
" โทษฐานที่เธอหาว่าฉันเป็นควาย ใช่ไหม? "
เสียงธนัต ดุดัน ลมหายใจของเขาปะทะกับหน้าผาก และแก้มอ่อนๆ ของเธอ อัญชลีรู้ึสึกเย็นเยือกในใจไหวสะท้าน..พยายามหันหน้าหนี พลางสะบัดตัวให้พ้นจากตรงนั้น แต่ยิ่งทำก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไป เหมือนเขาจงใจจะให้เธอกลัวและเจ็บตัว~
" ปล่อย !! " เธอร้องพลางแหงนหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเฉียบขาด วางอำนาจ หวังจะให้เขากลัวจนหัวหดไปเลย แต่...
" ไม่ ! " เขาปฏิเสธ " จนกว่าเธอจะขอโทษฉัน ที่เธอบังอาจมาว่าฉันหยาบคาย เสียหาย " เขากระแทกเสียง
อัญชลี รู้สึกแปลกๆ ร้อนผ่าวบนใบหน้า เมื่อได้สบตากับเขาใกล้ชิด เนื่องจากขณะนี้ ธนัตได้ก้มลงมามองหน้าเธอจนเกือบจะชิด สายตาแข็งแกร่ง ดุดัน ของเขา บอกถึงอารมณ์ว่าตอนนี้ทำเล่นๆ ไม่ได้แล้ว
" ฉันจะขอโทษเธอได้ยังไง ก็ในเมื่อฉันไม่ได้ผิดอะไร ฉันไม่ได้พูดว่านายเลย นายคิดไปเอง "
" ไม่จริง " เขาเข่นเขี้ยว มองใบหน้าหวานๆ เนียนใส นั้นอย่างลืมตัวไปชั่วขณะ ใจก็อ่อนไหวไปด้วยอารมณ์ที่ซ่อนลึกอยู่ข้างในปนกันไปกับอารมณ์ที่เดือดดาล โกรธกระด้าง ตามสัญชาตญาณความเป็นผู้นำของเพศชาย
" ถ้านายยังไม่ปล่อย ฉันจะร้องให้คนช่วย คอยดูสิ " เธอขู่
" เอาสิ ร้องให้คอแตก ก็คงจะมีใครผ่านมาเห็นหรือได้ยินหรอก เผลอๆ เขาอาจคิดว่า แฟนมาทะเลาะกันซะอีก "
" นี่ ! " เธอตะโกนใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด
" ใครเป็นแฟนนายไม่ทราบ หน้าตาอย่างนายนี่นะเหรอ ฉันไม่มีวันหันมองให้เสียคุณภาพสายตาหรอกย่ะ "
" อะไรนะ " ธนัตทวนเสียงกร้าว ชักอยากจะบิดปากคนพูดซะจริง ดูสิ ทำให้เขาเกิดอาการอยากจะลงโทษตอนนี้ให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่ใช่เล่นๆ สำหรับใคร
" เชอะ หน้าลิงอุบาทว์แบบนี้ ฉันไม่สนใจหรอก จะบอกให้ "
" อ๋อ แล้วเธอมันสวยเลิศเลอ วิเศษวิโส มาจากตรงไหน ยัยหน้าจืด "
" หุบปากนะ จืดยังไงมันก็หน้าชั้น นายไม่มีสิทธิ์มาว่า มาวิจารณ์ หัดมองดูตัวเองซะมั่งนะ ก่อนจะว่าชาวบ้านน่ะ "
อัญชลีโกรธจัด
" ปล่อยฉันซะที ไอ้ด๊อคสะตึ ไม่งั้น ฉันจะ ... "
" จะทำไม " เขาถามย้ำพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากอย่างได้ต่อ นัยน์ตาท้าทายนั่นทำให้เธอรู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่าง บัดดลนั้น อัญชลีได้กระชากมือขึ้นมา ธนัตที่คอยดูท่าทีเธออยู่ ยังคงจับเธอไว้แน่น อัญชลีได้ที จึงกัดไปที่มือขวาของเขา ฝังรอยเขี้ยวเล็กๆ ลงไปเต็มๆ
" โอ้ย !! " ธนัตตกใจ " เธอกัดฉัน !! " เขาผงะ
" สมน้ำหน้า " อัญชลีตะโกน " อยากมายุ่งกับฉันนักนี่ "
แล้วทำท่าจะวิ่งหนี แต่ ธนัตซึ่งตอนนี้โกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ เขาสั่งสอนเธอด้วยการวิ่งตามไปกระชากเธอกลับมาแล้วโน้มใบหน้าลงไปจูบปากจิ้มลิ้มนั่นอย่างแรง เด็กสาวตกใจ ดิ้นขลุกขลักอยู่ แต่ก็ไปไหนไม่พ้น เนื่องจากธนัตแข็งแรงกว่าจึงกอดรัดเธอไว้แน่น ...จนเธอไม่สามารถกระดิกตัวหรือเปล่งเสียงเล็ดลอดออกมาได้
เป็นจูบแรกที่ทำให้เธอตัวชาและรู้สึกแปลกๆ หวั่นไหวในอารมณ์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่ต่างจากธนัตเช่นกัน เขาตัวสั่นเบา ก็นี่ เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกัน นี่นา...
เนิ่นนาน หวานซึ้ง จนอ่อนแรง มือของอัญชลีที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ได้ปล่อยให้หนังสือเล่มนั้น ตกลงไปบนพื้นหญ้าอย่างลืมตัว พอเธอยืนนิ่งขึง ธนัตก็ผละิริมฝีปากออกไปด้วยความเสียดาย หันมาจ้องหน้าอัญชลีอย่างบอกอารมณ์ไม่ถูกว่าในขณะนั้นเป็นอย่างไร
น้ำตาของเธอไหลออกมาช้าๆ
" ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ " ธนัตพูดเสียงเครือในลำคอเหมือนสำนึกผิด
" ขอโทษเหรอ .. " เธอพูดช้าน้ำตาคลอ
" นายทำฉันได้ขนาดนี้ นายไม่ใช่ลูกผู้ชาย "
เธอร้องไห้ ธนัตทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากไม่เคยเห็นน้ำตาผู้หญิงต่อหน้าต่อตามาก่อน เขาหันซ้ายแลขวา
" ฉันจะพูดยังไงดี ฉัน..." ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค
" เผี๊ยะ !! " เสียงฝ่ามือเล็กๆ ตบหน้าเขาหัน เป็นรอยผื่นแดง เมื่อเขาหันมามองก็พบสายตาที่แสดงความเกลียดชังของอัญชลี
" นี่ สำหรับคำขอโทษพล่อยๆ ของนาย "
ว่าแล้วเธอก็วิ่งออกไปจากที่ตรงนั้น ธนัตยกมือลูบไล้ใบหน้าชาของตัวเองจากแรงตบที่ไม่เบาเลยของผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังมึนงง กับการกระทำของตัวเองไม่หาย นี่เขาทำอะไรลงไป เขาทำได้ยังไงกับผู้หญิงที่เขาปรามาสไว้เสมอว่า จะไม่มีวันเข้าใกล้ และ ร่วมสนทนา เนื่องจากทั้งเขาและเธอต่างไม่ชอบหน้าซึ่งกันและกัน เป็นคู่กัดกันทุกกรณีจนคนในโรงเรียนรู้กันไปทั่วว่า สองคนนี้ เป็นเสือที่ไม่อาจอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ เจอเมื่อไหร่เป็นได้ฉะกันหรือแง่งๆ เข้าใส่ตลอด จนเห็น เป็นที่เคยชินของบรรดาผองเพื่อนทั้งหลาย
และความรู้สึกนี้ล่ะ มันคืออะไร ธนัตถามตัวเอง พลางลูบริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมละเอียดตรง นุ่มนวล และยาวสลวยของเธอยังติดจมูกของเขาอยู่...
ธนัตสลัดหัว ไล่ความรู้สึกอะไรบางอย่างไปให้พ้น ก้มลงเก็บหนังสือของอัญชลีที่เธอทำตกไว้ พลางคิดในใจถึงริมฝีปากเธอ จะว่าไปแล้วก็ดันรู้สึกเข้าข้างตัวเองไปว่า ความหวานๆ เหล่านั้นเธอก็อยากมีให้เขาหมือนกัน และมันยังคงติดอยู่ ไม่จางหายไปไหนเลย
นี่เขาเป็นอะไรไป ? ทำไมต้องคิดถึงผู้หญิงคนนี้ ?
ธนัตรีบเดินออกไปจากใต้ร่มไม้นั้นทันที เตือนตัวเองให้หยุด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านมากกว่านี้ เพราะรู้ว่าระหว่างเธอกับเขา ยัยตัวร้ายอันดับหนึ่งคนนี้ ไม่มีวันที่จะกลับมาคุยกันดีๆ ได้หรอก มันไม่มีวันเป็นไปได้จริงๆ
....หลายวันต่อมาขณะที่รถยนต์ของธนัตแล่นเข้ามาจอดในตึกพาณิชย์แห่งหนึ่ง อัญชลีกำลังเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมด้วยของพะรุงพะรังเต็มมือ เธอได้เหลือบไปเห็นธนัตเข้าพอดีจึงเกิดอาการคอแข็งหน้าเชิด ชักสีหน้าโกรธๆ ขึ้นมาทันที
หล่อนสะบัดหน้าเดินไปที่รถตัวเอง ธนัตซึ่งเห็นอัญชลีตั้งแต่ตอนเข้ามาใหม่ๆ รีบจอดรถแล้วทำทีมองไม่เห็น เดินมาเรื่อยๆ
" อุ้ย คุณนัตมา " เสียงแหลมเล็กของหญิงคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความดีใจ
" สวัสดีครับ คุณน้าไล " เขาทัก
" หวัดดีจ้า พ่อสุดหล่อ ไง วันนี้ลมอะไรพัดมาถึงนี่ได้ล่ะ " ผู้อาวุโสกว่ากล่าวยิ้มๆ
" เอ่อ ครับ มาหาคุณพ่อน่ะครับ เดี๋ยวผมมานะครับคุณน้า " ธนัตรีบพูดแล้วเดินลิ่วมาตรงลานจอดรถที่อัญชลีกำลังง่วนจัดของลงบนหลังรถ
" อะแฮ่ม ! " เขาทำท่ากระแอมไอ ให้เธอรู้ตัว อัญชลี หันไปตามเสียงแต่พอเจอหน้าเจ้าของเสียงเท่านั้นก็หน้าบูดบอกบุญไม่รับ..
" ฮึ " หล่อนครางฮือๆ ในลำคอ..แล้วหันหน้าหนีไม่สนใจ
" นี่คู๊ณณ.. จะไม่มองเลยเหรอว่าใครอ้ะ ก็นี่ละน๊า เรามันคนที่เขาเกลียดไม่ชอบขี้หน้า จะหันมาทักกันซักนิดก็ไม่มี "
ธนัตพูดลอยๆ แต่อัญชลีทำเป็นไม่ได้ยิน เหมือนไม่มีเขาอยู่ในนั้น เธอรีบจัดของให้เสร็จแต่ในใจคิดก็ว่า รู้ตัวเองก็ดีแล้ว คนบ้าอะไร ไปที่ไหนก็เจอได้ทุกที่เลย ..
" เอ๊า ๆ เป็นใบ้ไปซะละ หรือจะงอนเรื่องวันก่อนอยู่ไม่หาย "
เขาพูดยั่วอารมณ์อัญชลีและก็ได้ผล หล่อนตาเขียวใส่เขา
" นี่นาย ว่างมากหรือไง ถึงไม่มีอะไรจะทำ วันๆ ไปนู่นไปนี่ไร้สาระ แถมชอบไปที่เดียวกับฉ้นตลอด นายรู้มะ ว่าฉันเบื่อหน้านายเต็มทีละ ไปให้พ้นเลย ไป "
ธนัตหัวเราะยิ้มๆ ขำกับคำตอบของเธอ
" หัวเราะไรยะ ญาติเข้าโรงบานเหรอไง " อัญชลีฉุน
" ป่าวอ้ะ ขำเธอมากกว่า เธอนี่มันปากดีจัง แถมอารมณ์เสียได้ 24 ชั่วโมงเลยนะ "
" กับนายคนเดียวแหล่ะ " เธอสวนกลับไป
" อืม เหรอ ..อ่า ฉันต้องดีใจไหมเนี๊ยะ แล้วเธอมาซื้ออะไร ให้ฉันช่วยจัดป่ะ "
ธนัตอาสา ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ตอนขามาเขายังรู้สึกเบื่อๆ เฉยๆ อยู่เลย แต่พอมาเจอหล่อนก็รู้สึกสนุกและสดชื่นประหลาด
" ไม่ต้องฉันทำเองได้ "
" แน่ใจอ้ะ " เขาถาม
" ถ้า นายอยากช่วยฉันละก็... ช่วยไปไกลๆ ดีกว่า รำคาญจริงๆ "
ธนัตหน้าเจื่อนลง แต่ไม่วายกระเซ้าต่อ
" อ๋อๆ ผมเข้าใจที่คุณไม่อยากให้ช่วย เพราะเขินละซี "
" เขินอะไร " อัญชลีถามหน้าหงิก ชักโมโหที่นายนี่ไม่ยอมไปซะที ขนาดไล่กลายๆ ก็แล้ว คนอารายหน้าด้านทานทน อย่างกะเสาหินอ่อน.. ธนัตไม่พูดแต่เดินมาใกล้อีกฝ่าย พลางยื่นบางสิ่งให้..
" ฉันเอาหนังสือที่เธอทำตกไว้เมื่อวันก่อนมาคืน.. " เขาบอกเสียงเบาเหมือนกระซิบ .. " ยังไม่ได้เปิดอ่านหรอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนั้นเธอไปนั่งแอบเขียนข้อความรักถึงฉันหรือเปล่า "..
" แหวะ.. ++ " อัญชลีทำท่าอ้วก " ใครมันจะบ้าไปเขียนถึงนาย อย่ามาละเมอเพ้อพกได้มะ ฮึ.. " พูดจบตัวคนพูดก็ค้อนตามแล้วยื่นมือไปรับหนังสือจากเขา
ธนัตเดินเข้าไปชะโงกหน้าดูของที่เธอจัด เขาหยิบมาชิ้นหนึ่งที่อยู่ในรถเข็น
" อยากรู้ใช่มั๊ยว่าทำไมเธอถึงเขิน ไม่ยอมให้ฉันช่วยจัด ..นี่ไง สำหรับวันมามากของผู้หญิง " เขาพูดหน้าตาเฉย แต่คนฟังหน้าแดงไปจรดใบหู
" อีตาบ้า !.." หล่อนเสียงแหว " นายด๊อคสะตึเกินไปแล้วนะ อย่ามายุ่งกับของๆ ชั้น เอามานี่เลย.. "
" อ้าว อารายเนี๊ยะ "
" นี่ นายเป็นผู้ชายอะไร ไม่มีมารยาท มาหยิบจับของชาวบ้านเค้าไปทั่ว "
อัญชลีอายมากส่วนธนัตทำหน้างง..
" อะไรของเธอนักหนา นี่มันเรื่องปกติแท้ๆ คุณแม่ของฉันก็เคยใช้ให้ฉันไปซื้อ แล้วฉันก็เต็มใจด้วย " เขาบอก
" ช่างนาย เรื่องของนาย ชั้นจัดของเสร็จละ จะไปแล้วล่ะ หวังว่าคงไม่เจอนายอีก "
อัญชลีปิดฝากระโปรงรถจะเดินไปนั่งบนที่ขับ ธนัตเดินตามไป
" อะไรของนายอีกล่ะทีนี้ นายด๊อค "
" ฉันชื่อ ธนัต อ้ะ บอกตั้งกี่หนแล้ว เธอไม่เคยจำ "
" ไม่ใช่ ไม่เคยจำ แต่ฉันไม่อยากจำตังหาก "
" อ๋อเรอะ.. คร้าบ ผมรู้แล้วล่ะคร้าบว่าคุณไม่อยากเฉียดใกล้ผมอยู่แล้วไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เถอะ ที่ผมจะพูดในตอนนี้ก็คือ.. อ่า .."
ธนัตเฉมองไปทางอื่นแล้วพูดเสียงดังยังกะผ่านโทรโข่งว่า
" ฉันมาขอโทษเธอ ที่วันก่อนจูบเธอไป คือฉันไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป มันเป็นการกระทำที่แย่มากๆ เลย จึงอยากมาขอ... "
ยังไม่ทันพูดจบ อัญชลีก็ลากธนัตออกจากตัวรถ แล้วตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความอับอาย
" ไอ้คนบ้า !.. จะขอโทษทั้งที พูดเบาๆ เป็นมั๊ย.. จะแหกปากให้คนทั้งซอยได้ยินรึไง หลีกไป ฉันไม่มีอะไรจะต้องพูดกับนายอีก "
" เอ่อ.. " ธนัตพูดไม่ออก อัญชลีปิดประตูรถดังโครม ขับรถแล่นออกไป
" เดี๋ยวสิ ! "
ธนัตเรียกแต่ไม่ทันแล้ว และเมื่อเขาหันไปดูรอบข้างก็เจอลูกกะตาหลายคู่ จ้องมองตาแป๋วมาที่เขาเต็มไปหมด ธนัตยิ้มอายๆ หันรีหันขวางแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ปล่อยให้บรรดาไทยมุง เอ้ย ไทยมอง ยืนยิ้มซุบซิบกันยังกะมาดูหนังรักโรแมนติก ถึงบทที่นางเอกกับพระเอกทะเลาะกันก็ไม่ปาน...
" เพราะยัยแว่นแท้ๆ ทำเราเป็นตัวตลกของฝูงชนจริงๆ "
ธนัตเดินบ่น เข่นเขี้ยว มาแต่ไกล
" อ่า.. คุณนัต กลับมาละ กานดา เธอไปยกน้ำมาให้คุณนัตหน่อยเร้ว "
คุณวิไล สั่งเด็กรับใช้
" เจ้าค่ะ คุณท่าน "
ธนัตนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ปล่อยตัวตามสบาย
" คุณพ่อล่ะครับ " เขาถาม
" คุณพ่อยังไม่เข้ามาจ๊ะ ว่าแต่คุณนัตมีธุระอะไรกับท่านหรือคะ ? "
หญิงสูงอายุถามเขาด้วยรอยยิ้มแห่งความเอ็นดู
" ครับ ผมจะมาถามคุณพ่อเรื่องไปเรียนต่อน่ะครับ จะโทรคุย คุณพ่อก็ไม่ว่างซักที "
" ค่ะ น้าทราบเรื่องที่คุณนัตจะไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วนะคะ คุณท่านเล่าให้ฟัง น้าเห็นด้วยนะจ๊ะ ว่าแต่คุณนัตจะไปเรียนที่ไหนละคะ "
" ผมคิดไว้ว่า จะไปที่อเมริกาครับผม แต่จะมาถามคุณพ่อว่า ท่านมีความเห็นยังไงอะครับ "
" อืม.. " คุณวิไลคิดแล้วจึงเปรยกับลูกเลี้ยงเบาๆ
" น้าคิดว่า ท่านคงไม่มีปัญหานะคะ เพราะท่านก็ต้องสนับสนุนคุณนัตอยู่แล้ว "
ธนัตยิ้มกว้าง " ครับ ผมถึงมาคุยในรายละเอียดเพิ่มเติมกับคุณพ่อต่อน่ะครับ "
เด็กรับใช้นำแก้วน้ำมาวาง ธนัตยกขึ้นมาดื่ม
" จ๊ะ " คุณวิไลยิ้มด้วยความปราณี " เดี๋ยวอีกสักครู่ท่านคงมาแล้ว คุณนัตทานอะไรมาหรือยังคะ ? " คุณวิไลถาม
" เรียบร้อยแล้วละครับ " ธนัตตอบซาบซึ้งใจในความอบอุ่นที่ภรรยาคนที่สองของบิดาเอาใจใส่เขาในหลายๆ เรื่องด้วยความจริงใจ แม้เขาจะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของคุณวิไล แต่การกระทำที่หญิงสูงอายุคนนี้มีให้เขา คือ ความรัก ความเอ็นดู ที่มาจากใจจริงธนัตรู้สึกโชคดีและให้ความเคารพนางดุจมารดาแท้ๆ ของตัวเอง ..
" คุณนัต ทำตัวตามสบายนะคะ ถ้าหิวก็สั่งเด็กทำให้ทานได้เลยนะจ๊ะ น้าขอตัวไปดูร้านก่อนจ๊ะ "
" ครับ คุณน้า " ธนัตตอบ
คุณวิไลยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป ธนัตหยิบหนังสือใกล้ตัวขึ้นมาอ่าน พลันสายตาก็หันไปเจอกระดาษโน๊ตเล็กๆ วางบนโต๊ะ จึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมาอ่าน ข้อความนั้นทำให้ธนัตแปลกใจนิดๆ แต่พอจะรู้ว่าคนเขียนคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณวิไลเป็นอย่างดี
" หลานสาว " เขาทวนคำลงท้ายนั้นอย่างแปลกใจว่า คุณวิไลมีหลานสาวด้วย แถมเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลังจากอ่านถ้อยคำน่ารักๆ นั้นแล้ว เขาก็พอจะสรุปได้ว่า จะมีหลานสาวของแม่เลี้ยงเขามาช่วยทำงานในร้านดอกไม้ของคุณวิไล ในอีกสองสัปดาห์ถัดไป ซึ่งคงตรงกับวันหยุดและปิดเทอมของเขาพอดีด้วย
แต่เขายังนึกไม่ออกว่า จะใช้เวลาช่วงวันหยุดปิดเทอมอันแสนน่าเบื่อนั้นทำอะไรดี ธนัตนึกถึงคู่กัดของเขา ยัยแว่นหน้าจืด นั่นก็คงเอาแต่เที่ยวหรือไม่ก็นอนกลางวันสันหลังยาว ซะสบายเลยแน่ๆ หล่อนคงไม่ต้องไปทำงานหรือทำอะไร ไม่แน่ว่าป่านนี้อาจจะนั่งเขียนโปรแกรมสำหรับเที่ยวในหน้าร้อนนี้อย่างสบายใจเฉิบอยู่ก็ได้...
คิดแล้วเขาก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ.. วันนี้อุตส่าห์ลดตัวลงไปขอโทษแล้ว แต่ยัยบ้านั่นก็ยังทำหยิ่ง ไม่สนใจ ไม่ยอมยกโทษให้เขาอยู่ดี รู้อย่างนี้ จูบอีกซักทีสองที ให้งอนไปอีกสักแปดชาติเลยก็ดี คิดแล้วก็ยิ้มกับตัวเองอย่างผู้ชนะที่แสนจะเจ้าเล่ห์ ..
กานดา เด็กรับใช้เห็นแล้วก็อยากรู้ว่า เจ้านายสุดหล่อคนนี้ของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ดูท่าทางกะลิ้มกะเลี่ย มีความสุขเหมือนคิดถึงสาวๆ อยู่อย่างไรประมาณนั้นเชียว...
" มองอะไรกานดา " ธนัตหันมาถามทำเอาเด็กน้อยอย่างกานดาสะดุ้ง
" แหะๆ คุณนัตเห็นด้วยเหรอคะ อิอิ.. "
ธนัตเลิกคิ้วทำหน้าแกล้งดุ " อ้าว เห็นสิ ฉันไม่ได้ตาบอดนี่นา.. "
" แต่เหมือนเมื่อกี้คุณนัตจะตาบอดเพราะความรักแล้วนะคะ "
" ยังไง " ธนัตทวนถามอย่างงงๆ ในคำพูดของเด็กรับใช้จอมทะเล้น
" ก็คุณนัต นั่งยิ้มๆ ทำตาหวาน แปลกๆ อยู่ตะกี้ จะให้หนูคิดว่าอารายค๊า ฮิฮิ.. " เด็กน้อยแล่บลิ้นอย่างขี้เล่น ดูท่าทางจะอยากแซวเขาเต็มแก่
" อ้ะน้ะ " ธนัตขำ " นี่เราน่ะ จะแก่แดด แก่ลม มากไปแล้วนะ ใครบอกว่าฉันนั่งทำตาหวานๆ คิดถึงสาวๆ คิดไปไกลถึงไหนแล้วน่ะเรา.."
เขายิ้มกับกานดา " เอาล่ะ รู้ดีนักเชียวนะเรา แต่ตอนนี้ฉันจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ เราจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ "
" เจ้าค่ะ " เด็กน้อยรับคำ แต่ไม่วายจะหันมาบอกเขาว่า...
" แต่ถ้าคุณนัตมีแฟนก็ดีซีคะ.. กานดาจะได้มีเจ้านายน่ารักๆ เพิ่มอีกคน "
ธนัตเขกหัวเด็กน้อยโป๊ก " นี่แหน่ะ มะเหงกเลย ทะเล้นดีนัก " เขาว่า
กานดา เอามือลูบหัวซู๊ดปากด้วยความเจ็บ แล้วค่อยๆ ย่องออกไป ธนัตเห็นแล้วขำ พลางส่ายหน้าแล้วคิดในใจ..
" เด็กอารายทะเล้นจริงๆ คนอย่างเราเนี่ยนะ จะมีแฟนเหมือนคนอื่น แค่คิดก็ อเน็จอนาจตัวเองซะแล้วตู จะไปหาที่ไหนได้ ผู้หญิงดีๆ หายากจะตาย ไอ้ที่มีก็ปากจัดซะไม่มี เหอะ ขออยู่ห่างๆ หลายโยชน์ดีกว่า"
แล้วธนัตก็เอนนั่งอ่านหนังสือต่อไปเงียบๆ บรรยากาศตอนบ่ายวันนี้ ลมพัดมาเอื่อยๆ สบายๆ .. กิ่งไม้ไหวไปมา เห็นแล้วเขาก็รู้สึกสบายใจดีแท้ ..
.........ที่สถานศึกษาวิทยาลัยพาณิชย์แห่งหนึ่ง ใต้ร่มไม้ใหญ่ อัญชลีนั่งเคี้ยวขนมกินเล่นอยู่กับเพื่อนๆ
นุชนารถ เพื่อนคนหนึ่งของอัญชลี กำลังโชว์โทรศัพท์รุ่นใหม่ที่เพิ่งซื้อมาให้เพื่อนในกลุ่มดู สาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ด้วยความอิจฉาในรูปลักษณ์อันเก๋ไก๋ของชิ้นส่วนเทคโนโลยีดึงดูดใจวัยรุ่น ในปัจจุบันนี้
" ว้าว เจ๋งไปเลย นุช รุ่นนี้ฉันอยากได้มานานแล้ว แต่ยังเก็บเงินซื้อไม่ได้เลย แพงหูฉี่เลยเนี๊ยะ "
นุชนารถยิ้มหน้าบานที่เห็นเพื่อนๆ สนใจกัน เลยโม้ให้ได้หน้าเพิ่มเป็นพะเรอเกวียนว่า
" เนี่ย เครื่องเก่าที่ใช้มันตกยุค ตกรุ่นไปแล้ว ฉันไม่อยากถือให้อายใคร ก็แค่ไปรูดการ์ดมาจากที่ร้านก็ได้มาใช้แล้ว ของแค่นี้สบายฉันอยู่แล้วล่ะ อยากซื้ออะไรก็ได้ กะอีแค่มือถือเครื่องเดียวไม่เท่าไหร่หรอก ซื้อเป็นสิบเครื่องก็ยังได้เลย " นุชนารถโม้เป็นวรรคเป็นเวร
" โอ้โห.. เธอนี่รวยจริงๆ บ้านเธอทำธุรกิจอะไรนะ " นานา สาวอ้วนที่สุดในกลุ่มถาม
" ไม่บอกจ๊ะ ความลับ " นุชนารถตอบแบบมีความลับ
" ว๊า..ถามแค่นี้ก็ไม่ยอมบอก " นานา ทำหน้าเซ็ง " เอ๊ะ ! หรือว่าบ้านนุชขายยาบ้าเลยไม่ยอมบอกเพื่อนๆ มิน่า รวยเอ๊า รวยเอา.. "
แล้วสาวๆ ในกลุ่มก็หัวเราะครื้นเครง
" บ้า พูดมาได้ซะงั้น หาคุกให้ฉันซะแล้วมั๊ยล่ะ " นุชนารถค้อนควักเข้าให้
" อืม.. อัญ ดูสิ พวกนี้มันว่าฉันน่ะ เธอช่วยจัดการพวกมันหน่อยซิ.."
นุชนารถเท้าคางบอกอัญชลี
" เอาน่า นุช แซวกันเล่นจะเป็นไรไป ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่า ปิดเทอมจะทำอะไรดีนี่ตังหากสิ คิดไม่ออกเลย " อัญชลี บอกเซ็งๆ
" นั่นสิ " หลายคนผสมโรง
" ช่างน่าเบื่อเลยนะ ฉันก็ไม่รู้จะไปไหนดี " นานาพูด
" ไปเที่ยวทะเลกันดีมะ " นุชนารถเสนอ
" เออ ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เปลี่ยนบรรยากาศอาบน้ำทะเลคงสนุกพิลึก "
กระต่าย สาวตาชั้นเดียวหน้าหมวยสุดในกลุ่มเพื่อน ออกความคิดเห็นบ้าง
" แล้วเราจะไปทะเลที่ไหนกันดีล่ะ " นุชนารถถาม
" นั่นซิ อัญว่าไงล่ะ " นานาหันไปถามอัญชลีซึ่งกำลังเคี้ยวขนมกรุบๆ
" อ๊อย เอาแต่กินอยู่นั่นละ แม่คุณ เดี๋ยวก็อ้วนเหมือนยัยนานาหรอก "
นุชนารถว่าเข้าให้
" ยัยนุชว่ากระทบถึงฉันเหรอ เด๊วจาโดนมิใช่น้อย " นานาทำปากจู๋
นุชนารถแล่บลิ้นล้อเลียน ทำให้กระต่ายหัวเราะในการกระทำของเพื่อน..อัญชลีทำท่าคิดแล้วยิ้มออกมา
" เย่.. นึกออกแล้วล่ะ ฉันว่าไปชะอำกันดีกว่า น่าเที่ยว และฉันก็ยังไม่เคยไปเลย "
" อ้าว ! " ทุกคนร้องพร้อมกัน
" ยังไม่เคยไปเที่ยวแล้วอัญบอกว่า น่าเที่ยวเนี่ยนะ พูดยังกะไปเห็นมาแล้ว " กระต่ายพูดมั่ง " นั่นซี.. " ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก อัญชลีเลยบอกไปว่าไปเสิชดูที่ท่องเที่ยวมาจากในเวปไซต์แล้วก็เจอ แถมมีรูปภาพประกอบด้วย เพื่อนๆ เลยถึงบางอ้อกัน ..
" อ้ะน้ะ ยัยอัญ ที่แท้ก็ไปซุ่มดูไว้ก่อนนี่เอง แหม.. เร็วกว่าที่คิดนะ ฮิๆ "
นานา หัวเราะ ทุกคนเลยพลอย หัวเราะและยิ้มตาม นุชนารถเห็นอัญชลีทำท่าทางกินอร่อย เลยแย่งถุงขนมมากินบ้าง สาวๆ ทุกคนเลยรุมทึ้งกันไปทึ้งกันมา จะกินกันเป็นที่สนุกสนาน นานาแย่งไม่ทันใครเนื่องจากอ้วนฉุ ยื้อแย่งลำบากเลยจะไปซื้อมาใหม่ พลันก็เห็นธนัตเดินอยู่กับสาวสวยดาววิทยาลัย ก็กรี๊ดขึ้น
" ว้าย ๆ คุณนัตสุดหล่อ เดินมาทางนี้พอดี "
ว่าแล้วก็เรียกธนัตเสียงดัง " คุณนัตขา ทางนี้ค่ะ "
ทุกคนหันไปมองตามเสียงแปร๋นๆ ของนานา อัญชลีส่ายหน้าแล้วดุเพื่อนตัวเองว่า
" ธ่อ ยัยนานา ไปเรียกนายสะตึนั่นมาทำไมเนี๊ยะ ก็รู้อยู่ว่าฉันไม่ชอบหน้าเขาอ้ะ "
นานาทำหน้าจ๋อยๆ ยิ้มแหยๆ
" อุ้ย มากับคุณน้ำผึ้งสุดสวยในโรงเรียนเราด้วย แหม.. คนหล่อก็งี้แหล่ะ มีแต่สาวๆ เดินเคียงกาย " กระต่ายพูดยิ้มปลื้มๆ
ทุกคนดูเหมือนจะเห็นด้วยกับกระต่ายต่างชะม้ายชายตามองธนัตด้วยความสนใจ ยกเว้นอัญชลีคนเดียวที่เบ้ปากทำท่าอ้วกออกมา แล้วหันหน้าหนีไปซะทางอื่น
ธนัตเมื่อแยกทางกับน้ำผึ้งแล้วจึงเดินมาที่กลุ่มของอัญชลีนั่งอยู่
" สวัสดี.. ไงทุกคนนั่งคุยอะไรกันอยู่ "
เขายิ้มหล่อโปรยเสน่ห์สาวๆ ได้ผล ทุกคนรีบแย่งกันตอบว่า กำลังคิดเรื่องจะไปเที่ยวในวันหยุดปิดเทอมนี้ ยกเว้นอัญชลีคนเดียวทำหน้าเซ็งที่เพื่อนดันไปบอกนายนี่ซะหมดเลย ไม่เหลือหลอ.. เลยถือโอกาสลุกหนีโดยบอกเพื่อนๆ ว่าจะไปห้องน้ำ..
ธนัตยังคงคุยกับพวกสาวๆ ต่อ แต่ไม่วายหันมามองตามหลังอัญชลีที่รีบเดินออกจากกลุ่มไปให้พ้นๆ เขา
อัญชลีหลีกหนีกลุ่มเพื่อนๆ ที่รุมล้อมธนัตมาได้ก็โล่งใจ หาที่นั่งใหม่ใต้อาคารแห่งหนึ่ง พลางบ่นออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวว่า ธนัตแอบเดินตามมาตั้งแต่ปีไหนแล้ว
" ฮึ.. หนีมาได้ก็ดี โล่งขึ้นเยอะเลย ขืนอยู่ตรงนั้นต้องแย่เพราะได้รับมลพิษทางอารมณ์ จากนายด๊อคนั่นแน่ๆ "
" หึ หึ หึ " เสียงหัวเราะข้างหลังทำให้อัญชลีหันขวับไปดู แต่ปรากฎว่าไม่เจออะไร " เอ๊ะ เสียงใคร มาจากไหน "
อัญชลี งง แต่พอหันมาอีกทางก็เจอธนัตยืนพิงต้นมะพร้าวมองเธออยู่ด้วยสายตายียวน กวนบาทา อีกแล้วคับท่าน..
" นายธนัต ! " อัญชลีอุทาน " นี่นาย มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ้ะ "
ธนัตเดินมานั่งตรงหน้าเธอแล้วบอกว่า
" มาเมื่อเห็นนี่ล่ะ "
" นี่นายยังเดินตามฉันมาอีกเหรอ รู้สึกช่วงนี้จะคอยตามฉันอยู่เรื่อยเลยนะ นายมีปัญหาอะไรก็ว่ามา .. "
" ไม่มีอะไรหรอก ฉันตามมาก็จะฟังเธอนินทาฉันนี่ล่ะ "
" เอ๊ะ ใครไปนินทาอะไร อย่ามาหาเรื่องฉันนะ "
อัญชลีขึ้นเสียงสูง ธนัตยิ้มที่มุมปาก
" แล้วเมื่อกี้ ใครมันพูดอยู่หยกๆ ว่าฉันเป็นมลพิษอยู่เลยละ ยัยองคุลี "
" นี่.. ฮึ เรียกให้มันดีหน่อย อือ ได้ยินก็ดีแล้ว จะได้รู้ตัวว่านายน่ะ เป็นมลพิษต่อสังคมขนาดไหน.. นายรู้แล้วก็รีบไปไกลๆ สายตาของฉันเหอะ "
" คำก็ไล่ สองคำก็ไล่ นี่เธอจะไม่ยอมพูดอะไรดีๆ กับฉันเลยเหรอ "
ธนัตพูดเสียงอ่อนลง อัญชลีมองเขาแบบไม่เข้าใจ เธอเสียงอ่อนลงตามเขา
" ก็ฉันไม่เข้าใจว่านายต้องการอะไรถึงชอบมาหาเรื่องทะเลาะกับฉันอยู่เรื่อย "
อัญชลีพูดจบก็หันหลังให้เขา ซ่อนแววตาบางอย่างไม่ให้เขาเห็น
" ฉันไม่ได้อยากมีเรื่องทะเลาะกับเธอหรอกนะ และจะมาขอโทษเมื่อวันก่อนที่ .......... "
" ฉันลืมมันไปแล้วล่ะ " อัญชลีรีบชิงพูดขึ้น
" งั้นเหรอ อืม..ก็ดีนะ " ธนัตเสียงต่ำบอกอารมณ์ไม่ถูก
" เธอคงไม่เคยจำอะไรเกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว ก็เธอเกลียดฉันนี่นา และเกลียดมากด้วย จริงไหม? " เขาถาม
อัญชลี หลบตาต่ำ แล้วพูดออกไปเบาๆ
" ใช่ ฉันเกลียดนาย "
ธนัตลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หน้าตาของเขาเงียบขรึมบ่งบอกถึงอารมณ์ภายในว่า เขารู้สึกอย่างไร เขาเองก็ใช่ว่าจะเก็บอารมณ์ได้เก่งเสมอไป.. สายตาบางอย่างของเขาผิดหวัง..
อัญชลีนั่งเงียบ
" งั้นเธอก็ไม่มีวันพูดดีกับฉันใช่ไหม และไม่ว่ายังไง เธอก็จะเกลียดฉันอยู่อย่างนี้ตลอดไป "
ธนัตพูดจบ เธอก็หลบตาวูบ และไม่มีคำพูดใดๆ กับเขาอีก ธนัตชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ เดินจากเธอไป..
นานมากที่อัญชลีจะหันมามองตามหลังเขา น้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้าตาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่า ทำไมจะต้องร้องไห้น้ำตาซึม เขาไปก็ดีแล้วมิใช่หรือ แล้วทำไมเธอจะต้องรู้สึกเหมือนเขาจะหายไปต่อหน้าแล้วจะไม่ได้เจอเขาอีก.. ในความเงียบงันในใจ มีความรู้สึกบางสิ่งบอกให้รู้ว่า ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องไป ..
...ภายหลังจากวันนั้น อัญชลีก็มีโอกาสได้เจอธนัตอีก..เพียงครั้งสองครั้งโดยบังเอิญในช่วงที่ต้องไปเรียน แต่คนทั้งคู่ก็เมินเฉยต่อกันราวกับไม่เคยพูดจากันมาก่อน อัญชลีก็พูดน้อยลง ความร่าเริงที่เคยมีก็เริ่มจะหายไปจนนุชนารถและกลุ่มเพื่อนสังเกตได้ และคอยเฝ้าถามแต่เธอก็ทำตัวปกติและปฏิเสธที่จะให้คำตอบใครโดยบอกแค่ประโยคสั้นๆ ว่าช่วงนี้เบื่อๆ ไม่ได้ไปทำกิจกรรมอะไรหลังจากเลิกเรียนก็จะขอกลับบ้านไม่ได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตามร้านนัดพบทั่วๆ ไปอย่างที่เคยทำมา..เพียงแต่รู้กันว่าอีกสองสัปดาห์ถัดไปจะต้องเตรียมตัวไปเที่ยวทะเลกันตามที่เคยตกลงไว้ส่วนด้านธนัตเองก็เงียบขรึมลงบรรดาผองเพื่อนก๊วนเดียว ชวนไปเที่ยวไหนเขามีอันต้องปฏิเสธหมด ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาเตรียมตัวจะไปช่วยบิดาทำงานในช่วงวันหยุดนั่นเอง ถึงตอนนี้ก็จะมีคนเห็นเขาเข้าออกในบริษัทของบิดาเป็นประจำซึ่งทำให้คุณวิไลสบายใจที่ธนัตรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ธนัตจึงได้มีโอกาสทานข้าวที่บ้านเป็นประจำทำให้บิดาของเขาดีใจที่ลูกชายไม่ออกไปเที่ยวเตร่เสเพลที่ไหน นับว่าเป็นช่วงที่คู่กัดทั้งสองคนนี้ ไม่ได้เจอหน้ากันเท่าไหร่แล้วแง่งๆ เข้าหาดังแต่ก่อน
เย็นวันหนึ่งนุชนารถมาหาอัญชลีที่บ้าน วันนี้บ้านเงียบเชียบ สาวนุชเลยไปกดกริ่งเรียกเพื่อนตรงรั้วหน้าบ้าน กดอยู่นาน ก็ยังไม่มีคนมาเปิด จึงตะโกนเรียกอัญชลีแล้วกดกริ่งอีกครั้งเสียงยาว อัญชลีวิ่งมาเปิดประตูให้ นุชนารถจึงเห็นว่าเธออยู่ในชุดอยู่กับบ้านสบายๆ
" หวัดดี อัญ " นุชนารถทัก
" ดีจ๊ะ.. แหม ขอโทษนะที่มาช้าพอดีฉันกำลังรับโทรศัพท์จากคุณแม่อยู่ แล้วนี่มาได้ยังไง มามะ..เข้าบ้านก่อน " อัญชลียิ้มดีใจ
" ก็คิดถึงเลยมาไง " นุชนารถบอก อัญชลีหัวเราะร่วน
" นุชนี่ ปากหวานจริงๆ เลยน๊า แต่ดีแล้วล่ะที่มา ฉันก็กำลังคิดถึงอยู่พอดี "
ทั้งสองสาวเดินเข้าไปในตัวบ้านที่จัดได้อย่างน่าอยู่และกลมกลืน ภายนอกระเบียงมีการจัดสวนไว้สวยงามลงตัวและร่มรื่นเต็มไปด้วยไม้ประดับนานาพันธุ์ซึ่งกำลังเบ่งบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมกระจาย และที่บ้านของอัญชลีชอบปลูกต้นไม้ที่ออกดอกหอมเย็นๆ ไว้ทั่วบ้านอย่างเช่น ดอกแก้ว ดอกกะดังงา หรือสะบันงาอย่างชื่อโบราณเรียก ดอกรสสุคนธ์ ต้นปีบ และต้นพญาสัตบรรณซึ่งมีกลิ่นหอมประหลาดเหมือนดอกไม้ป่า.. ในยามค่ำคืน หากยืนสูดลมหายใจรับกลิ่นเข้าปอดแล้วจะเกิดความรู้สึกสุขและโล่งสบาย เป็นออกซิเจนที่ดีสำหรับระบบหายใจเลยทีเดียว
บรรยากาศร่มรื่นและเย็นสบายดีแบบนี้ทำให้นุชนารถ อดชมไม่ได้ว่าบ้านอัญชลีน่าอยู่มากๆ เจ้าบ้านจึงบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบดีไซน์โดยคุณแม่ของเธอเอง ซึ่งตอนนี้ได้เดินทางไปต่างประเทศ แต่ยังโทรมาหาอัญชลีด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงประจำ
" คุณแม่เธอนี่น่ารักจังเลยนะอัญ แล้วท่านจะกลับเมื่อไหร่ " นุชนารถถาม
" คงราวๆ เดือนหน้านะ ฉันเองก็เหงาและคิดถึงแม่มากเวลาที่ท่านไม่อยู่ แต่อีกไม่นานก็คงกลับมาแล้วล่ะ " อัญชลีบอกเสียงเหงาๆ
เมื่อมาถึงห้องรับแขก นุชนารถนั่งรอ ส่วนเจ้าบ้านก็ไปยกน้ำมาให้ดื่ม
" อัญ อยู่คนเดียวแบบนี้เหงาแย่เลยนะ ไว้ฉันจะแวะมาคุยด้วยประจำดีไหม ? "
" ดีซี.. เราก็อยากมีเพื่อนคุยด้วย ยิ่งตอนดึกๆ นะ บางทีก็นอนไม่หลับเลย ฉันกลัวความมืดน่ะ อือ.. "
" แล้วทำไมเธอไม่หาใครมาอยู่เป็นเพื่อนล่ะ บ้านก็ออกหลังใหญ่โตมีอาณาเขตกว้าง อยู่คนเดียวแบบนี้น่าเป็นห่วงนะ " นุชนารถถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงจริงจัง
อัญชลีขมวดคิ้ว
" ที่จริงก็มีนะ แม่บ้านของฉันมีหนึ่งคน แต่ตอนนี้เขากลับไปเยี่ยมพ่อที่ป่วยอยู่ต่างจังหวัดน่ะ "
" แล้วเธอก็เลยต้องอยู่คนเดียว " นุชนารถพูด
" ก็ใช่อะจิ ว่าแต่วันนี้นุชค้างที่นี่ได้มะ ฉันอยากมีเพื่อนนอนด้วยน่ะ ไหนๆ นุชก็มาแล้ว "
" เอางั้นเหรอ ได้ซิ แต่ฉันต้องโทรบอกที่บ้านก่อนนะ เดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง "
" ได้ ๆ " เจ้าบ้านออกอาการดีใจยิ้มแป้น " โทรเลยซีจ๊ะ นี่ก็เย็นมากแล้วนะ " อัญชลีเตือน นุชนารถจึงกดโทรศัพท์จากที่บ้านเพื่อนสาวไปขออนุญาตจากผู้ปกครองซึ่งก็ไม่ว่าอะไร เพราะรู้จักครอบครัวอัญชลีเป็นอย่างดี นุชนารถวางสาย
" เรียบร้อย ฮิๆ "
" ขอบใจนุชมากเลยนะ "
" ไม่เป็นไร ฉันเองก็อยากอยู่เป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน นอนกับพี่สาวทุกวันน่าเบื่อ ยิ่งประเภทนอนดิ้นแถมละเมออย่างพี่สาวฉันนะ เฮ้อ.. ไม่อยากพูด.. "
อัญชลีหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า
" เธอยังโชคดีมีพี่สาว และพี่ชายครบ แต่ตัวฉันสิ เป็นลูกคนเดียว เหงาโดยแท้.. นี่ถ้าคุณพ่อไม่เสียไปฉันคงได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่พร้อมหน้าไม่เหงา "
เสียงคนพูดเบาลงเรื่อยๆ นุชนารถเอื้อมมือไปบีบไหล่เพื่อน
" นี่ไง อยู่กับฉันก็ได้ ฉันจะทำให้เธอไม่เหงานะ "
" เธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉันนะ " อัญชลีบอกด้วยหน้าตาสดชื่นขึ้น
" ก็แหง๋ละซิ.. เธอเองก็เหมือนกันนะ เป็นเพื่อนที่น่ารักของฉันด้วย "
สองสาวยิ้มให้กัน อัญชลีชวนนุชนารถขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลงมานั่งอ่านหนังสือด้วยกัน จนเริ่มโพล้เพล้ทั้งคู่รู้สึกหิวจึงเข้าไปในครัวทำอาหารง่ายๆ รับประทานกัน ..
เวลาได้เลยผ่านไปเรื่อยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้มลง ทั้งสองสาวก็ขึ้นไปขลุกอยู่ในห้องนอน อัญชลีเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คดูข้อความอีเมล์ ส่วนนุชนารถอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ พอนั่งนาน อัญชลีรู้สึกปวดท้องเลยเดินไปเข้าห้องน้ำ นุชนารถรออยู่นาน อัญชลีก็ยังไม่ขึ้นมาเมื่อเดินออกไปดูจึงเห็นเจ้าบ้านกำลังคุยโทรศัพท์กับมารดาที่โทรมาพอดี เลยเดินกลับเข้าห้องมานั่งดูคอมพิวเตอร์
นุชนารถเปิดลิ้นชักในตู้เก็บหนังสือค้นหาแผ่นดิสก์เกม ก็ไม่เจอจึงไปเปิดลิ้นชักอีกอัน.. นุชนารถเจอสมุดสีฟ้าเล่มหนึ่งจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู สายตาของเธอกวาดไปตามตัวอักษรที่เขียนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบโดยลายมือของอัญชลี หน้านั้นทำให้นุชนารถอึ้งไปในทันที..และตาเบิกโพลงขึ้นเมื่อได้เห็นสิ่งที่แนบอยู่ในนั้น เป็นรูปถ่ายของใครคนหนึ่งซึ่งประมาณว่า โดนแอบถ่ายจากด้านข้างในที่ไกล และใบหน้านั้นนุชนารถจำแม่นยำว่าเป็นใคร..
" คุณธนัต " นุชนารถอุทาน
นี่มันอะไรกัน ไหนว่ายายอัญ เกลียดนักเกลียดหนา นุชนารถเป็นงง แต่พอได้อ่านข้อความเขียนในบรรทัดของแต่ละหน้าทำเอานุชนารถไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้
เสียงฝีเท้าของเจ้าบ้านเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นุชนารถรีบเก็บเข้าไว้ที่เดิมด้วยมือสั่นๆ อัญชลีมายืนพิงอยู่หน้าประตูทอดสายตามองนุชนารถ
" ทำอะไรอยู่หรือนุช "
" ป่ะ เปล่า.. " นุชนารถพูดเสียงตะกุกตะกัก " ฉะฉัน..กะลังมาดูเวปไซต์ในหน้าจอคอมอยู่ เธอคุยกับคุณแม่เสร็จแล้วหรือ.. ตะกี้ฉันเห็นเธอหายไปนานเลยเดินไปดู เห็นเธอกำลังคุยอยู่ "
อัญชลียิ้มกว้าง " ใช่แล้ว คุณแม่โทรมาอีกรอบน่ะ "
นุชนารถโล่งใจที่เพื่อนไม่เห็นจึงแอบถอนหายใจ
" เธอดูเวปอะไรอยู่ ไม่เห็นมีเลย " อัญชลีถามเมื่อเห็นว่าหน้าจอตอนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
" อ๋อ .. ฉันปิดไปตะกี้น่ะ มันโหลดช้าเลยเบื่อรอ จะไปอ่านหนังสือต่อล่ะ " พูดจบก็กระโดดขึ้นเตียง
" นุช ง่วงหรือยัง? " เธอถาม
นุชนารถเอามืดปิดปากหาวหวอดๆ " อือ.. ก็เริ่มแล้วนะ แล้วเธอล่ะ "
" ฉันก็ง่วง แต่ขอพิมพ์งานอีกนิดนึง มันยังไม่เสร็จน่ะ นุชจะนอนก่อนก็ได้นะจ๊ะ " อัญชลีบอก
" โอเค.. ถ้าฉันง่วงก็ขอหลับก่อนละนะ เธอเองก็อย่าทำงานจนดึกล่ะ " นุชนารถบอก
" จ้า " อัญชลีรับคำแล้วนั่งทำงานต่อ นุชนารถได้แต่แอบมองเพื่อนตัวเองและคิดเงียบๆ ในใจถึงเรื่องที่ได้รับรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ อือ..ยัยอัญชอบคุณนัตหรอกหรือนี่..?? ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ.. แล้วที่ทำเป็นทะเลาะกันก็แค่เป็นการปิดบังความรู้สึกสินะ.. ว่าแต่ทางโน้นล่ะ จะคิดแบบเดียวกับเพื่อนของตัวเองหรือเปล่ายังไม่รู้เลย..
นุชนารถหยิกตัวเอง นึกว่าเพี้ยนไป แต่ก็รู้สึกเจ็บเลยต้องยอมรับว่าที่ตัวเองรับรู้มานั้นเป็นความจริงแน่นอน.. แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงดี ถ้าฝ่ายโน้นเขาไม่ได้ชอบเพื่อนตัวเอง ยัยอัญมีหวังต้องเสียใจแหง๋มๆ.. แล้วเธอจะช่วยเพื่อนยังไงดี..?? คิดแล้วนุชนารถก็กลุ้มๆ จนผล็อยหลับไป
(โปรดติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้ค่ะ จากมู๋แหม่ม นักเขียนมือใหม่ อิอิ :P)
